top of page
  • Black Facebook Icon
  • Instagram

Welcome to the world where truth doesn't hurt

Guns N' Roses วงแตกได้ไง

เล่าและเรียบเรียงโดย เศรษฐพงศ์ โพวาทอง @00sethapong

 

จากการบอกเล่าของสแลชพวกเขาเริ่มร้าวฉานกับแอ็กเซลตั้งแต่ตอนทัวร์อัลบั้ม Use Your Illusion แล้ว และเริ่มมาปะทุเดือดครั้งแรกตอนคอนเสิร์ตที่เมืองเซนต์หลุยส์ มิสซูรี่ในปี 1991


เริ่มจากแอ็กเซลไม่พอใจคนดูคนหนึ่งในแถวหน้าๆ ที่ใช้กล้องวิดิโอถ่ายขึ้นมา เขาบอก รปภ. ของสนาม แต่ รปภ. กลับทำเฉย ส่วนตาคนถ่ายก็ยังคงถ่ายต่อไปแบบไม่แยแส แอ็กเซลเลยฟิวส์ขาด โดดลงไปแย่งกล้อง ส่วนเพื่อนร่วมวงก็ยังคงเล่นท่อนริฟท์ก่อนเข้าเพลง Rocket Queen ต่อไปเรื่อยๆ ตอนนั้นสแลชคิดว่าเฮ้ยเจ๋งมากว่ะ ปรากฏว่าพอแอ็กเซลกลับขึ้นมาบนเวทีอีกครั้ง เขาก็คว้าไมค์มาและประกาศว่า “มี รปภ. เหี้ยๆ แบบนี้ พวกเราไม่เล่นต่อละ” กระแทกไมค์แล้วเดินลงเวทีด้านหลังไปดื้อๆ

Gun 'N Roses ที่คอนเสิร์ตเซ็นต์หลุยส์ รัฐมิสซูรี่

สแลชเล่าว่า วงก็ยังคงเล่นต่อไป หาอะไรต่างๆ มา improvise ขัดตาทัพไปก่อน ทั้งโซโลกลอง โซโลกีตาร์ แจมกีตาร์ “พวกเรามีมุกแบบนี้เป็นกุรุส ไว้ใช้เวลาแอ็กเซลงอนดื้อๆ และระหว่างนั้นผมก็เดินไปถามที่ขอบเวที “มันอยู่ไหน” ดั๊ก โกลสไตน์ ผู้จักการทัวร์ของวงมองผมอย่างกระอักกระอ่วน “เขาไม่เล่นต่อแล้ว”

“ยังไงนะ มันจะไม่เล่นต่อแล้ว” ผมตะโกนถาม มือยังสับกีตาร์อยู่ “ไม่มีทางที่เขาจะกลับมาเล่นต่อ ผมก็ทำไรไม่ได้” ดั๊กตอบ

ขณะนั้นวงเล่นไป 90 นาทีละ (เวลาขั้นต่ำตามสัญญา) แต่จริงๆ พวกเขากะว่าจะเล่น 2 ชั่วโมง และแฟนๆ ยังไม่หนำใจ ยังไม่ใกล้เคียงเลยก็ว่าได้ สแลชบอก "ผมตะโกน ไปถามมันอีกทีซิ มันจะไม่เล่นต่อจริงดิ แต่ดูจากสีหน้าของดั๊กผมก็น่าจะรู้แล้วว่าถามไปก็ไม่มีประโยชน์"

Axl Rose กับ Slash ตั้งแต่ปี 1994 สองคนนี้ก็แทบไม่คุยกันอีกต่อไปแล้ว
ผลของการเล่นคอนเสิร์ตที่เซนต์หลุยส์ไม่จบ มูลค่าความเสียหายประมาณ 2-3 แสนเหรียญในปี 1991 (ค่าเงินปัจจุบัน 6-9 ล้านบาท)

เมื่อมันชัดเจนแล้วว่าแอ็กเซลไม่กลับมาเล่นต่อแน่ วงก็ทำอะไรไม่ได้ วางเครื่องดนตรีลง แล้วเดินลงจากเวทีไปโดยไม่บอกอะไร เหมือนเพลงที่เล่นค้างไว้โดยมีเครื่องหมายคำถามตัวเบ้อเริ่มต่อท้าย


“คนดูในสนามรอกันอยู่ว่าจะยังไงต่อ" สแลชเล่า "แต่พอพวกเราเดินลงเวทีโดยไม่พูดอะไรเลย พวกเขาเลยโมโหมาก โดยที่พวกเราก็ไม่รู้ด้วยว่ามันจะทำให้คนดูโมโหขนาดนั้น”


พวกเขามารวมกันในห้องแต่งตัว แต่ไม่มีแอ็กเซลอยู่ด้วย บรรยากาศดูหงอยๆ พิลึก แต่แล้วก็เริ่มมีเสียงปึงปังจากคนดูดังลอดเข้ามาถึงห้องแต่งตัว อยู่ๆ แอ็กเซลก็โผล่มาและบอกว่า “กลับไปเล่นกันต่อเหอะ”

พวกเขากลับไป แต่พอเปิดประตูไม่ว่าจะประตูไหนก็เห็นแต่ภาพของการจลาจลในสนาม เห็นตำรวจโดนตีเลือดอาบ เห็นคนดูโดนหามลงเปล ทุกหนแห่งในสนาม ชาวเซนต์หลุยส์ไม่สบอารมณ์มากๆ ที่ GnR จะเลิกเล่นคอนเสิร์ตกลางคันแบบนี่ พวกเขาพังสนามแม่งเลย


สแลชเล่าต่อ “พวกเขาพังสนามแบบที่ผมไม่นึกว่าจะเป็นไปได้ พวกเราได้บทเรียนเลยว่าอย่าเล่นกับความรู้สึกของคนดูถึงขั้นนั้น โดยเฉพาะแอ็กเซลมันควรจำไว้ให้ดีตั้งแต่งานนั้นเลยว่าอย่าได้ยั่วยุอารมณ์ของคนดูจนถึงจุดนั้นอีก”


แต่เป็นที่น่าเสียดายที่แอ็กเซลไม่ยักจำ

แอ็กเซลในปี 1987

ถัดมาอีกปีนึง (1992) พวกเขาได้เซ็นสัญญาทัวร์คู่กับ Metallica แต่ทาง Metallica มีความหนักใจและขอประชุมก่อน เรื่องคือ GnR มีปัญหาใหญ่คือมักจะขึ้นเวทีเล่นเลท มาจากแอ็กเซลคนเดียวเลยที่ชอบลีลาต่างๆ Metallica ไม่อยากรอ GnR ด้วยเรื่องเฮงซวยเช่นนี้ พวกเขาจึงขอเล่นก่อน แล้ว GnR ค่อยเล่นเป็นวงที่สอง สแลชบอกว่า Metallica โปรมาก ไม่มีงี่เง่า ไม่เรื่องเยอะ ตั้งใจเล่นเพื่อแฟนๆ โดยแท้ สแลชไม่อยากอับอายหาก GnR จะสร้างปัญหาขึ้นมาในการทัวร์คู่กับ Metallica


และในการทัวร์คู่กันของสองวงนี้ แอ็กเซลก็ออกไอเดียให้มีปาร์ตี้หลังเวทีทุกคืนโดยมีธีมไม่ซ้ำกัน มีเลานจ์ให้แขกดื่มกิน โดยแอ็กเซลให้พี่สาวและพี่ชายของเขาเป็นคนจัดการปาร์ตี้ทั้งที่ไม่มีประสบการณ์ ความฟุ่มเฟือยของแอ็กเซลในครั้งนี้ได้สร้างความไม่พอใจให้เพื่อนร่วมวงขึ้นมาอีก ไม่มีใครเข้าร่วมปาร์ตี้ แม้แต่วง Metallica แต่ก็ไม่มีใครโวย


แอ็กเซลยังคงขึ้นเวทีเลตอยู่ และไม่มีใครทำอะไรได้ เหมือนเขาจะรู้สึกว่ามันเจ๋งดีที่ทำให้ทุกคนต้องรอคอย สแลชยังบ่นเรื่องความฟุ่มเฟือยโดยใช่เหตุอีกว่า “วงเรากับ Metallica ได้ค่าตัวเท่ากัน แต่พวกเราจะต้องเสีย 80% ของรายได้ไปกับค่าปาร์ตี้ของแอ็กเซลและค่าปรับเวลาเราขึ้นเวทีสาย”

Slash ในปี 1989

ทีนี้มาถึงครั้งสำคัญละ กลางปี 1992 สแลชบอกว่าตอนนั้นความสัมพันธ์ของสมาชิกวงคนอื่นกับแอ็กเซลคือเกือบถึงขั้นแตกหักแล้ว แม้ว่าเวลาแสดงบนเวทีพวกเขาจะทำได้ดีเยี่ยมเพราะฝีมือและการที่เล่นด้วยกันมานานจนเข้าขา แต่พวกเขาก็หมดความนับถือในตัวแอ็กเซล


ปลายเดือนกรกฎาคมปีนั้น แอ็กเซลเกือบจะร้องไม่จบคอนเสิร์ตเพราะมีปัญหาเรื่องเสียงจนหมอบอกให้พักและต้องแคนเซิลไป 3 คอนเสิร์ต พวกเขากลับมาเล่นอีกครั้งที่มอนทรีลในแคนาดา

ระหว่างที่ Metallica เล่นไปได้ครึ่งทาง เจมส์ เฮตฟิลด์ (นักร้องนำเมทาลิก้า) ก็ดันเจออุบัติเหตุเครื่องพ่นไฟผิดพลาดดันมาพ่นไฟใส่ตัวเขาจนได้รับบาดเจ็บที่แขนและไหล่ ทำให้ Metallica ต้องยุติการแสดงลงทันที GnR ได้รับแจ้งว่าให้ขึ้นเวทีต่อเลย ขณะนั้นพวกเขายังอยู่ที่โรงแรมอยู่เลย แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าขัดข้องใดๆ พวกเขามุ่งไปที่สนามทันที ระหว่างทางก็คุยกันว่าจะเล่นยังไงดีเพื่อชดเชยช่วงเวลาที่ Metallica เล่นไม่จบด้วย ซึ่งแผนการดังกล่าวมิได้เกิดขึ้นเพราะแอ็กเซลยังไม่มานั่นเอง...

ปรากฏว่า พวกเขาไม่ได้ขึ้นเวทีทันที แถมยังเลตไปจากกำหนดเดิมของ GnR อีก คนดูต้องรอนานถึง 4 ชั่วโมงกว่า GnR จะมาขึ้นเวทีได้ มิหนำซ้ำ GnR ยังเล่นแค่ 90 นาทีก็จบ ทั้งที่มันควรจะเป็น 2 ชั่วโมง เพราะแอ็กเซลเป็นคนยุติมันเอง


สแลชบอก “มันคงมีเหตุผลของมัน แต่ผมและคนดูต่างไม่เข้าใจ ดังนั้น เมื่อเรากลับมายังห้องแต่งตัว ผมเลยไม่แปลกใจเลยที่คนดูเริ่มอาละวาด เสียงเอะอะเอ็ดตะโรดังลอดมาถึงห้องแต่งตัวที่อยู่ใต้สนาม และไม่มีทางที่พวกเราจะกล้ากลับขึ้นไปเล่นอีก ปรากฏว่าคนดูพังรอบสนาม ไม่ว่าจะซุ้มขายของกิน ของที่ระลึกต่างๆ ถูกขว้างปา ทุบตู้ฉกของไป ล้มเสาไฟ จุดไฟเผาต่างๆ มันคือความบรรลัยโดยแท้”

ปรากฏว่าแอ็กเซลมีปัญหาเรื่องเสียงจริงๆ ถึงได้ยุติคอนเสิร์ตก่อนเวลาอันสมควร และแถลงให้สื่อมวลชนทราบ นอกจากนี้ยังแคนเซิลอีก 3 คอนเสิร์ตถัดจากนั้นอีก แต่ในสายตาของเพื่อนร่วมวงแล้ว พวกเขาคิดว่าแล้วทำไมมึงไม่บอกก่อนจะเล่นที่มอนทรีล สแลชขายขี้หน้า Metallica มาก อายที่ไม่สามารถตอบแทนความคาดหวังของแฟนๆ ได้อย่างเต็มที่ ไม่สามารถแสดงได้อย่างสมศักยภาพของวง มันทำให้สแลชไม่กล้าสบตากับสมาชิก Metallica อีกเลยตราบจนจบทัวร์นั้น

ทั้งสองวงต่างพักรอเฮตฟิลด์และแอ็กเซลรักษาตัวก่อน จนผ่านไปราว 1 เดือน ปรากฏว่าเฮตฟิลด์กลับมาร้องได้ แต่ให้เทคนิคเชี่ยนของวงคนนึงเล่นแทน เขากลับมายืนหน้าเวทีทั้งที่ยังใส่เฝือกอยู่ นั่นทำให้สแลชทึ่งมากแต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกอับอายที่ GnR มีภาพลักษณ์เป็นวงร็อคแท้ๆ แต่กลับมีจุดอ่อนตรงนักร้องที่มีความหลงตัวเองยิ่งกว่าอนันต์ บุนนาค

และเมื่อจบทัวร์คู่กับ Metallica ผู้จัดการวงก็เอาบัญชีรายรับรายจ่ายมากางดูกัน ปรากฏว่า GnR แทบจะไม่ได้อะไรเลย เพราะหมดไปกับปาร์ตี้บ้าๆ บอๆ ทุกครั้งหลังคอนเสิร์ตและค่าปรับที่ขึ้นเวทีช้า ค่าโอเวอร์ไทม์ใ้ห้พนักงานทุกส่วนที่ต้องทำงานเกินกำหนดเพราะวง ทางวงจึงได้พักแค่เดือนเศษๆ แล้วออกทัวร์ต่อทันที คราวนี้ไปอเมริกาใต้ ยุโรป ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย แม้ว่าคราวนี้จะไม่มีธีมปาร์ตี้แล้ว แต่ก็ยังใช้จ่ายเยอะไปอยู่ดีเพราะทีมงานคอนเสิร์ตมีตั้ง 80 ชีวิต

พอกลับมาจากออสเตรเลียได้ไม่นาน พวกเขาก็ทัวร์อเมริกากันอีกหนนึง โดยเริ่มที่เมืองออสตินในเท็กซัสตอนปลายเดือน ก.พ. 1993 และพอมาถึงเดือนเมษา ในคอนเสิร์ตที่ซาคราเมนโต พวกเขาก็ยกเลิกการแสดงกลางคันอีกครั้ง แต่หนนี้เป็นเหตุสุดวิสัยจริงๆ เพราะมีคนปาขวดแจ็คแดเนียลส์ขึ้นมาบนเวทีและโดนหัวดัฟ (มือเบส) จนเขาสลบเหมือด สแลชบอกว่า “มันงี่เง่าและอันตรายมากๆ ผมไม่เข้าใจว่ามันจะปาของที่สามารถเป็นอันตรายขึ้นมาบนเวทีได้ไง ตอนที่ดัฟโดนนั้น วงได้เล่นไปราว 90 นาทีละ แต่ไม่ว่ายังไงดัฟมันก็เล่นต่อไม่ไหวอยู่ดี”

สแลชรับหน้าที่บอกคนดูในวันนั้นเองว่าพวกเขาจะไม่เล่นต่อแล้ว “ดัฟโดนขวดแจ็คแดเนียลส์ใส่เยี่ยวที่คนดูปาขึ้นมาจนตอนนี้มันถูกส่งตัวไปโรงบาลละ ไม่มีทางที่วงเราจะสามารถเล่นต่อได้ คอนเสิร์ตครั้งนี้จบลงแล้ว ได้โปรดแยกย้ายกันกลับโดยไม่ทะเลาะวิวาทกัน อย่าหาเรื่องกัน และอย่าทำลายสถานที่ล่ะ”

พวกเขาเลยต้องยกเลิกคอนเสิร์ตถัดไปที่แอตแลนต้า เพื่อให้ดัฟพักฟื้น ประกอบกับแอ็กเซลดันโดนจับ ข้อหาเตะหัว รปภ. คนนึงในคอนเสิร์ตที่ไหนสักแห่งระหว่างทัวร์อเมริกาปี 93 นี่ล่ะ แต่ผู้จัการวงบอกงานนั้นผิดทั้ง รปภ. ที่ลงมือกับคนดูแรงไปจนแอ็กเซลยัวะ และแอ็กเซลเองก็ผิดที่ควบคุมตนเองไม่ได้เช่นกัน

หลังจากนั้นพวกเขาก็บินไปทัวร์อิสราเอล กรีก และตุรกี อีก ระหว่างนั้น ไม่มีใครรู้ว่าอิซซี่ (มือกีตาร์) กำลังจะออกจากวง เขาไม่ได้เกริ่นกับใครจนกระทั่งจบคอนเสิร์ตที่ตุรกี แต่กระนั้นอิซซี่ก็ยังเล่นจนครบกำหนดอีกสองครั้งที่อังกฤษและอำลาวงไปในปลายเดือนพฤษภาคม 1993


ตอนนี้ สมาชิกจากยุคแรกจริงๆ เหลือแอ็กเซล สแลชและดัฟเท่านั้น (สวีเว่น แอดเลอร์ มือกลองคนแรก ถูกไล่ออกจากวงตั้งแต่ช่วงบันทึกเสียง Use Your Illusion แล้ว เนื่องจากเมามากจนเล่นไม่ได้เลย)

แอ็กเซลโดนตำรวจจับตอนปี 1993

ทางวงได้รับกิลบี้ คลาร์กเข้ามาเล่นแทนอิซซี่ในช่วงนี้เอง ซึ่งก็ไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด พวกเขายังไปเล่นต่อที่เยอรมัน นอร์เวย์ โคลอมเบีย ต่างๆ และไปจบที่อาร์เจนตินา ในเดือน ก.ค. 1993 รวมทัวร์ต่างๆ ที่เดินสายเล่นกันตั้งแต่หลังอัลบั้ม Use Your Illusion ทั้งหมด 192 โชว์ในเวลา 2 ปีครึ่ง ซึ่งถือว่าเยอะมาก จบทัวร์หนนี้แล้วสแลชบอกว่าหมดแรง หมดพลังไปเลย

ระหว่างช่วงว่างนี้ เขาก็ทำสตูดิโอขึ้นที่บ้าน และมักจะมีกิลบี้กับไมค์ อิเนซแห่งวง Alice in Chains แวะมาแจมแทบทุกวัน สามคนนี้ได้อัดเพลงที่แจมๆ กันไว้ทุกคืน แต่เมื่อสแลชเอาไปลองเล่นให้แอ็กเซลฟัง แอ็กเซลกลับแสดงความไม่แยแสออกมาอย่างชัดเจน แต่สแลชคิดว่าไม่เป็นไร ไม่เอาช่างมึง และรวบรวม 12 เพลงไว้ซึ่งจะกลายมาเป็นจุดเริ่มต้นของงานเดี่ยวสแลชชุด Snakepit ในเวลาต่อมา


ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน GnR ก็ได้มีอัลบั้ม The Spaghetti Incident ออกมา ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเพลงพังค์ที่เอามาคัฟเวรอ์ใหม่ เว้นแต่ Since I Don’t Have You ซึ่งเป็นเพลงดูวับจากยุค 50s (อัลบั้มชุดนี้บันทึกเสียงในช่วง กพ.-กค. 1993 ระหว่างที่พวกเขาตระเวณทัวร์ต่างประเทศหนล่าสุด) และพอมีการถ่ายทำ MV ซึ่งยังคงเป็นงานบิ๊กโปรดัคชั่นแบบที่แอ็กเซลต้องการ (ลองนึกถึง MV เพลง November Rain) ซึ่งใช้ต้นทุนสูง ถ่ายทำนาน เรื่องเยอะ ยิ่งทำให้สแลชหงุดหงิดมากยิ่งขึ้น เขาเกือบวอล์คเอาท์ระหว่างถ่าย MV เพลง Since I Don’t Have You ไปแล้ว เพราะต้องลงไปยืนแช่น้ำเล่นกีตาร์ถึง 15 เทค ดีที่มีแกรี่ โอลด์แมน (ดาราดังที่เล่นใน MV เพลงนี้) ซึ่งตอนนั้นมาขลุกอยู่ด้วยช่วยไกล่เกลี่ยให้

หลังจากนั้น เมื่อถึงเวลามารวมตัวกันทำอัลบั้มใหม่ สแลช, ดัฟ, กิลบี้ และแม็ต ซอรั่ม (มือกลอง) ก็พยายามช่วยกันเขียนเพลงขึ้นมา แต่ในเรื่องสปิริตของวงนั้นไม่มีเลย เพราะแอ็กเซลไม่สื่อสารกับใคร ปกติอิซซี่จะเป็นตัวกลางที่สื่อสารระหว่างสมาชิกวงกับแอ็กเซล แต่เมื่อเขาชิงลาออกไปก่อนแล้ว ทั้งสแลชและดัฟต่างไม่มีวิธีที่จะคุยกับแอ็กเซลได้ ยิ่งสองสมาชิกใหม่อย่างกิลบี้และแมตนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย


หลังจากต่างคนต่างอยู่ได้ 2-3 เดือน แอ็กเซลก็ไล่กิลบี้ออกเฉยๆ โดยไม่ปรึกษาใคร และให้เหตุผลว่ากิลบี้เป็นแค่มือปืนรับจ้างที่เอามาแก้ปัญหาตอนอิซซี่ออกเท่านั้น และเขาก็ไม่ได้ต้องการกิลบี้ในการทำเพลงอยู่แล้วด้วย แอ็กเซลไปเอาพอล โทเบียสซึ่งเคยร่วมเขียนเพลง Back Off Bitch มา ซึ่งสแลชบอกว่าเป็นมือกีตาร์ที่จืดชืดที่สุด ไม่มีสไตล์ใดๆ ที่เข้ากับเขาได้เลย ยิ่งพอซ้อมด้วยกันยิ่งรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นทุกที เขาคิดว่าโทเบียสมือไม่ถึง แอ็กเซลดันไปเอามาทำไม ไอ้ห่านี่ต้องเล่นคอนเสิร์ตไม่ได้แน่ๆ แต่ไม่ว่าแต่ละคนจะพยายามพูดกับแอ็กเซลยังไง เขาก็ไม่ฟัง “เหมือนเราคุยกับกำแพง แถมยังเป็นกำแพงที่มีทัศนคติแย่ๆ อีกด้วย” สแลชว่า

อิซซี่-กิลบี้-พอล โทเบียซ

โทเบียสยังมีความถือดีว่าเป็นคนที่แอ็กเซลเลือกมา เขาแสดงออกแบบ “กูแจ๋ว แล้วมึงจะทำไม” ส่วน สแลชก็ตอบกลับ “ไงก็ได้” ทั้งสแลช, ดัฟและแม็ตต่างพร้อมใจกันเกลียดโทเบียซสุดๆ จนสแลชต้องดึงแอ็กเซล

“แอ็กเซลมึงฟังกูนะ กูพยายามทำงานกะไอ้ห่านี่และดูว่ามันจะช่วยเพิ่มอะไรให้กับวงได้ แต่กูมองไม่เห็นเลย เคมีของกูกับมันไม่ตรงกัน และเคมีของมันก็ไม่ตรงกับดัฟหรือแม็ตด้วย กูไม่เห็นวี่แววเลยว่าเราจะทำงานกับไอ้นี่ได้ยังไง อย่าว่าแต่ทำงานเลย ให้แดกเบียร์กะมันกูยังไม่เอาเลย”

แอ็กเซลมองมาอย่างหงุดหงิด

“แล้วทำไมมึงต้องแดกเบียร์กับมันด้วยล่ะ”

“มึงก็รู้กูหมายความว่าไง”

“กูไม่รู้” แอ็กเซลตอบแบบนี้ สแลชจึงมองว่าคุยต่อไปก็ไร้ประโยชน์แล้ว และหลังจากนั้น พอสแลชส่งงานไปให้แอ็กเซลอีก แอ็กเซลก็ไม่สนใจอีกเลย ระหว่างนั้นทางวงมีเพลง Symphathy For the Devil ซึ่งเป็นเพลงประกอบหนังเรื่อง Interview with the Vampire ออกมา ซึ่งไม่น่าจดจำเอาเสียเลย สแลชบอก “ถ้าใครอยากรู้ว่าวงที่ใกล้จะแตกเล่นเป็นยังไงให้ฟังเพลงนี้เลย และมันยังเป็นเพลงของ GnR ที่ผมไม่อยากฟังที่สุดอีกด้วย”

เวลาล่วงมาถึงปี 1995 แล้ว วงยังไม่ได้ทำเพลงไปถึงไหน และแอ็กเซลก็ไม่เคยคุยกับสแลชอีกเลย ไม่ว่าจะโทรคุยหรือเจอกัน กลายเป็นว่าแอ็กเซลมีอะไรจะใช้ดั๊ก ผู้จัดการวงมาบอกแทน และแอ็กเซลใช้วิธีการบันทึกเสียงโดยจองห้องอัดไว้ล่วงหน้า จ้างเทคนิคเชี่ยนมากมายโดยไม่จำเป็น และปล่อยให้วงลองเล่นๆ กันไปก่อนแล้วอัดไว้ให้แอ็กเซลมาทำต่อทีหลัง ซึ่งสแลชคิดว่าไม่เข้าท่า และไม่ใช่วิธีที่ควรจะเป็น


สแลชมานึกดู ตั้งแต่สตีเว่น แอ็ดเลอร์ออกไป อิซซี่ออกไป เขาก็เหลือแต่ดัฟคนเดียวที่เป็นสมาชิกยุคบุกเบิกที่ยังคุยกันได้อยู่ แต่ช่วงนั้นดัฟมีปัญหาสุขภาพจากการดื่มหนักมาหลายปี รวมทั้งกำลังจะมีครอบครัวด้วย ทำให้ห่างๆ กันไป ส่วนแม็ตก็ดูท้อใจที่เห็นงานเพลงไม่คืบหน้าไปไหนสักที สแลชเริ่มดื่มหนักขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อถึงจุดที่เขาทนไม่ไหว เขาก็หาทางคุยกับแอ็กเซลและพบว่าเหมือนคุยกันคนละภาษา สแลชยืนยันว่าการพยายามทำงานสร้างสรรค์กับโทเบียซนั้น ผลคือไม่ได้เลย


แอ็กเซลบอก “ถ้าจะทำเพลงกัน มึงไม่เห็นจำเป็นต้องเป็นเพื่อนกับมันซักหน่อย”

“ก็อาจจะใช่ แต่มันควรจะมีการยอมรับซึ่งกันและกันอยู่” บางที คำตอบของสแลชประโยคนี้อาจจะหมายถึงเขากับแอ็กเซลก็ได้เช่นกัน สแลชรู้สึกว่าบรรยากาศมีแต่ความเนกาทีฟ และอยู่ๆ แอ็กเซลก็เรียกแซคค์ วายด์ มือกีตาร์ตัวจี๊ดอีกคนของวงการมาซ้อมกับวงด้วย แม้ว่าสแลชจะยอมรับในฝีมือของแซคค์แต่เขากลับคิดว่ายังไม่ใช่คำตอบ และเสนอให้เอากิลบี้กลับมาอีก ซึ่งแอ็กเซลปฏิเสธทันที

สตีเว่นและแม็ต
ดัฟ

หลังจากนั้นแอ็กเซลและสแลชก็ไม่คุยกันอีกแล้ว ทุกอย่างจะสื่อสารผ่านผู้จัดการวงวง และไม่ว่าสแลชจะโทรหายังไงแอ็กเซลก็ไม่ยอมรับสาย และเมื่อใดที่แอ็กเซลโผล่มาห้องอัด เขาก็เหมือนมาดูๆ แต่ไม่เคยลงมือทำงานด้วย มันทำให้คนอื่นเซ็งมาก ส่วนแซคค์นั้นเข้ากับสแลชได้ดี แม้สแลชจะรู้สึกว่าถ้าเอาเขามาร่วมวงจริงๆ ล่ะก็ไม่น่าจะอยู่ได้กี่อาทิตย์ เพราะแซคค์เป็นคนพูดตรงๆ ซึ่งไม่เหมาะในการทำงานร่วมกับแอ็กเซลแน่ นอกจากนี้ พอมีทั้งสแลชและแซคค์อยู่ด้วยกัน มันเหมือนวงที่มีกีตาร์ลีดสองคนซึ่งเกินความจำเป็น แม้แต่ แซคค์เองยังรู้สึกว่าไอเดียนี้ไม่เหมาะ

ณ ตอนนี้ การตัดสินใจ “ของวง” นั้นจริงๆ คือการตัดสินใจของแอ็กเซลกับผู้จัดการวงแล้ว และค่อยแจ้งให้สมาชิกวงคนอื่นๆ รับทราบผ่านทางโทรศัพท์หรือแฟกซ์เท่านั้น จากวงที่เคยร่วมกันคิด ร่วมกันตัดสินใจ 5 คน กลับกลายเป็นเหมือนวงของแอ็กเซลคนเดียวเท่านั้น มันเหมือนแอ็กเซลไม่แคร์ใครอีกต่อไป มิหนำซ้ำเขายังได้เปรียบตรงที่ทุกคนเคยถูกบีบให้เซ็นว่าแอ็กเซลจะเป็นผู้ถือสิทธิในการใช้ชื่อวงตลอดไป โดยที่เขาสามารถแยกไปตั้งวงใหม่โดยใช้ชื่อ GnR อีกก็ได้

ในเวลานั้นดัฟและสแลชจะเรียกว่าเป็นสมาชิกวงก็ได้ แต่ต้องทำตามเงื่อนไขของแอ็กเซลและไม่ต่างอะไรจากมือปืนที่แอ็กเซลจ้างมาเล่นเท่านั้น ถึงตอนนี้ พวกเขาใช้ทนายคุยกันแล้ว มันไม่ใช่เรื่องของทัศนคติอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องที่แอ็กเซลต้องการควบคุมวงซะเองแล้ว


แอ็กเซลส่งจดหมายบอกคนอื่นในวงเมื่อวันที่ 31 ส.ค. 1995 ว่าเขาลาออกจากวงชุดนี้ แต่จะเอาสิทธิการใช้ชื่อวง GnR ไปด้วยตามสัญญา หลังจากความร้าวฉานที่เริ่มสะสมมาตั้งแต่ปี 1991 ในที่สุด GnR ก็มาถึงจุดนี้ แต่ก็ยังมีเงื่อนไขส่งท้ายบอกว่า พวกเขายังมีเวลาลองแก้ตัวกันอีกระยะหนึ่งว่าจะทำงานกันต่อไหวไหม ก่อนจะเลิกรากันไปจริงๆ


และในปีต่อมา แอ็กเซลยังนัดสมาชิกให้มาเจอกันที่ห้องอัดอีก แต่เขามักจะโผล่มาตอนตี 1 ตี 2 แล้ว ส่วนคนอื่นน่ะมากันแต่หัวค่ำ พอแอ็กเซลมาก็เป็นช่วงที่คนอื่นเบื่อและอยากกลับบ้านกันแล้ว เลยไม่ได้งานอะไร นอกจากแอ็กเซลออกปากบอกว่ากูชอบตรงนั้น กูชอบตรงนี้นิดหน่อย และพอเป็นแบบนี้หลายครั้ง พอถึงวันหนึ่ง หลังจากตื่นนอน สแลชก็โทรบอกผู้จัดการวงว่าเขาจะไม่ไปห้องอัดอีกแล้วนะ “เท่านี้แหละ ผมพอแล้ว ผมเลิก” และวางสายไปก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดอะไร

Gun 'N Roses ในยุคแรกเริ่ม
ปี 2002-2008 สแลช, แม็ต และดัฟ ไปรวมตัวทำวงกันใหม่ในนาม Velvet Revolver

ส่วนดัฟนั้นอึดกว่าหน่อย เขาทนจนถึงกลางปี 1997 ก็ลาออกจากวงอย่างเป็นทางการโดยให้เหตุผลว่า ผ่านมา 3-4 ปีแล้ว GnR ยังไม่มีงานใหม่เป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เขาคาดหวัง และนับเป็น original member ของวงคนสุดท้ายที่ออกไป (ถ้าไม่นับแอ็กเซล) นับเป็นจุดอวสานของ GnR อย่างแท้จริงตอนนี้แหละ

ส่วนแอ็กเซลนั้นก็เอาชื่อวงไปใช้และมีงานชุด Chinese Democracy ออกมาในปี 2008 นู่นเลย (พอล โทเบียซมือกีตาร์เด็กเส้นที่ใครๆ ก็ไม่ชอบนั้นกลับมีส่วนร่วมในการทำเพลงของชุดนี้เยอะ แม้ว่าเขาจะไม่ได้ร่วมทัวร์กับวงก็ตาม) และขายได้เยอะอยู่ (3.6 ล้านแผ่น และ 24 ล้านทางสตรีมมิ่ง) แต่ต้นทุนนั้นสูงถึง 13 ล้านเหรียญ เพราะอะไรต่ออะไรหลายๆ อย่าง ว่ากันว่าเป็นอัลบั้มเพลงร็อคที่ใช้ต้นทุนสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์เลยแกร

 

23 ปีผ่านไป แอ็กเซล, สแลช และดัฟกลับมารวมตัวกันอีกครั้งในทัวร์คอนเสิร์ตรียูเนี่ยนปี 2016-2019 ชื่อ "Not in This Lifetime Tour" และบางโชว์สตีเว่น แอดเลอร์ สมาชิกเก่าก็มาตีกลองให้ด้วย ทัวร์ยาว 3 ปีและเล่นไป 158 รอบครั้งนั้น เป็นทัวร์ที่ทำเงินสูงสุดเป็นอันดับสามในประวัติศาสตร์ดนตรี (อันดับหนึ่ง Ed Sheeran อันดับสอง U2) คือ 584.2 ล้านเหรียญ หรือ 17,548 ล้านบาท

bottom of page