top of page
  • Black Facebook Icon
  • Instagram

Welcome to the world where truth doesn't hurt

เรื่องสั้น: รอ


2003


วันจันทร์ 17:41 เขาก็ยังไม่โทรมา


ฉันมองไปรอบๆ อพาร์ตเม้นต์ว่าเหลืออะไรให้ทำอีก พื้นก็ถูแล้ว จานก็ล้างแล้ว ขัดห้องน้ำดีไหม? แต่ฉันเพิ่งขัดไปเมื่อวานซืนนี่นา หรือว่าละลายน้ำแข็งในตู้เย็นดี จะได้เคลียร์ของหมดอายุที่หมักหมมตั้งแต่เดือนที่แล้วเสียเลย แล้วตอนนี้ชั้นนำ้แข็งก็ก่อตัวหนาเป็นถ้ำยุคแมมมอธแล้ว เออ- งั้นละลายน้ำแข็งช่องฟรีซแล้วกัน


“เดี๋ยวพรุ่งนี้เราตื่นแล้วจะโทรหานะ” เขาบอกเมื่อตีสองครึ่งคืนวันเสาร์ก่อนแยกย้ายกันกลับบ้าน เขากลับกับเพื่อนของเขาที่ฉันไม่รู้จัก ส่วนฉันกลับกับเพื่อนของฉันที่เขาไม่รู้จัก “น่าจะบ่ายๆ ว่าจะนอนยาว”


เขาเป็นหนุ่มตัวสูง ใส่แว่น บุคลิกเหมือนพวกหนุ่มๆ ในโฆษณายาสีฟัน และเป็นเพื่อนของเพื่อนของเพื่อนของเพื่อนของเพื่อนของเพื่อน อะไรประมาณนั้น เรารู้จักกันในปาร์ตี้ที่ร้านอโศก บาร์เมื่อวันเสาร์อย่างที่เล่าไปแล้ว เขาทำงานอะไรสักอย่างเกี่ยวกับการเงิน


“แล้วเธอล่ะ?” เขาถาม ฉันบอกว่าเราสองคนทำงานคนละโลกกันเลย ฉันออกแบบลายจานชามและเซรามิคส์ และตอนนี้อายุ 23 แล้ว แต่ยังไม่รู้เลยว่าเงินเฟ้อแปลว่าอะไร เขาอธิบาย ฉันพยายามตั้งใจฟังแต่เสียงมันดัง เขาถามฉันว่าฉันเข้าใจที่เขาอธิบายไหม ฉันมองเขาปริบๆ ไม่รู้จะตอบอะไร เขาอธิบายให้ง่ายขึ้น ฉันก็ยังไม่รู้เรื่องอยู่ดี ดีเจเปิดเพลง Bandages ฉันรีบเปลี่ยนเรื่องว่าฉันชอบ Hot Hot Heat เขารู้ทันว่าอยากเปลี่ยนเรื่อง เลยบอกไม่เป็นไรหรอก เอาเป็นว่าเขาก็ใช้จานชามทุกวันเหมือนกัน แล้วเปลี่ยนเรื่องถามฉันว่าเคยฟัง Interpol หรือยัง ฉันบอกไม่รู้จัก เขาบอกวงนี้ดีนะ ฉันบอกจะไปฉี่ เขาบอกจะเดินไปเป็นเพื่อนที่ห้องนำ้ ฉันบอกไม่ต้องหรอก ฉันฉี่นาน เขาหัวเราะแล้วแซวว่าจะไปเติมปากล่ะสิ ฉันบอกว่าเขารู้เรื่องผู้หญิงมากเกินไปแล้ว เขาหัวเราะหึๆ ฉันฉี่เสร็จ เติมปาก เดินออกมา ปรากฏว่าเขายืนรออยู่หน้าห้องน้ำที่วุ่นวาย เขาแซวว่าปากแดงมาเชียว ฉันยื่นลิปสติกให้เขาถามว่าจะลองบ้างไหมล่ะ เขารับไปทาจริงๆ! (แบบลวกๆ) แล้วว่า “ทีนี้เราก็มีอะไรคล้ายกันแล้ว” และฉันปิ๊งเขาก็ตอนนั้นล่ะ ขณะนั้นเพิ่งจะเที่ยงคืนครึ่ง แต่เราก็คุยกันต่อจนผับเลิก แล้วแยกย้ายกันกลับบ้านกับเพื่อนของแต่ละฝ่าย


แต่เรื่องของเรื่องคือฉันให้เบอร์เขาไปโดยกดเบอร์ฉันใส่เครื่องเขา แต่ไม่ได้ขอเบอร์เขาไว้เพราะนึกว่าเขาจะยิงเข้าเครื่อง แต่นี่มันจะหมดวันจันทร์แล้ว เขาก็ยังไม่โทรและไม่ส่งแมสเสจมาเลย ทำให้ทั้งวันอาทิตย์และวันนี้ทั้งวันของฉัน ร้อนรุ่มสุมทรวงด้วยไฟแห่งการรอคอย

ทุกครั้งที่โทรศัพท์เกิดการเคลื่อนไหว หัวใจฉันก็เข้าสู่ระบบสั่นอย่างรุนแรง แต่มันก็มีแต่เบอร์ทวงหนี้บัตรเครดิต แมสเสจแจ้งเตือนค่าโทรศัพท์ แล้วก็แมสเสจและเบอร์ของเพื่อนฝูง หรือว่าเขาทำโทรศัพท์หาย? หรือว่าเขายุ่งมาก? หรือว่าฉันกดเบอร์ตัวเองผิด? (น่าจะเป็นข้อนี้ แต่ก็ไม่น่านะ ปุ่มโทรศัพท์เขาก็ออกจะใหญ่ ฉันยังแซวเขาเลยว่าซีเมนส์รุ่นนี้ปุ่มใหญ่ดีจริงๆ…ไม่รู้สิ แต่ไม่น่าจะกดเบอร์ผิดหรอก) ฉันก็ได้แต่คิดไปร้อยพัน รู้งี้น่าจะแลก MSN ไว้ด้วย


…หรือว่าเขาไม่ชอบฉัน?!


เมื่อเย็นวานฉันพยายามสืบจากเพื่อนที่ไปด้วยกัน ว่าเขาคือใคร อย่างไร ที่ไหน แม้จะพยายามให้มันไม่ออกนอกหน้าว่าฉันไม่ได้ปิ๊งเขาเสียหน่อย แต่ยิ่งสืบมันก็ยิ่งปิดไม่มิด นังแจนบอกว่า ถ้าชอบเขาก็ไม่ต้องอาย อย่าหน้าบางให้มาก ตอนคนรุ่นแม่เราอายุเท่านี้ เขามีลูกกันสองสามคนแล้ว แล้วก็มีบางคนที่รู้ทันแต่ยังรักษาหน้ากัน ก็พูดว่า “มันนิสัยดีนะ เดี๋ยวเช็คให้” คือฉันไม่กล้าโทรตื๊อผู้ชายหรอก ต่อให้ได้เบอร์เขามา ฉันก็คงไม่โทรไปหรอก จริงๆ นะ เพราะถ้าเขาไม่ได้ชอบฉันแต่เแค่ขอเบอร์เป็นมารยาท มันมันก็ดูไม่ดีใช่มั้ย แล้วนี่ฉันมายืนจ้องน้ำแข็งช่องฟรีซละลายทำไม?


เอาเป็นว่าพอตอนสายของวันนี้ (จันทร์) ฉันก็ได้เบอร์มือถือเขามา ได้มาทีเดียวห้าครั้งจากเพื่อนหลายคน แถมด้วยเพื่อนประมาณ 7 คนส่งข้อความมาแซวนั่นนี่ ว่าแหม ร้ายเนอะมั่งล่ะ ว่าแหม แรดเงียบนะหล่อนมั่งล่ะ ยิ่งทำให้ฉันก็ไม่กล้าโทรหาเข้าไปใหญ่ ก็หวังว่าเพื่อนปากมากสักคน จะส่งสัญญาณหรือนั่งทางในไปบอกเขา ว่ามีคนรอให้โทรหาอยู่


แต่ฉันก็คิดไปอย่างงั้นแหละ ทฤษฎีของฉันก็คือ ก็อย่างที่พูดไปแล้ว ว่าถ้าเขาชอบฉัน เขาก็คงทำทุกอย่างให้ได้เจอกันอีกครั้งซึ่งก็ไม่น่าจะยาก เพราะนี่มันก็ไม่ใช่ยุคส่งนกพิราบแล้ว กดโทรศัพท์มือถือไม่ถึงห้าวิเราก็ได้คุยกันแล้ว! แต่นี่หกโมงเย็นของวันจันทร์แล้วนะ! อ้อโทษที ตอนนี้ทุ่มนึงแล้ว


แล้วเขาก็โทรมาตอนทุ่มสิบห้า


“ได้ยินว่าตามหาเบอร์เราเหรอ” เขาถามหลังจากเราคุยกันได้ไม่กี่ประโยค ทำเอาไม่รู้จะตอบยังไง คำถามแบบนี้มันตอบยากนะที่จะทำให้ดูไม่แรดน่ะ “บ้า…” ฉันพูดเพราะไม่รู้จะตอบอะไรอย่างที่บอก “มือถือเราตัด ตัดตั้งแต่ตอนก่อนที่ขอเซฟเบอร์เธอแล้ว แต่เราไม่กล้าบอกว่าโทรศัพท์ตัด” เขาบอก “ปกติเราไม่ค่อยใช้มือถือหรอก จะยืมเครื่องคนอื่นโทรหาก็อายว่าโดนตัด วันก่อนที่ไปเที่ยวก็ยืมเงินเพื่อนกินเหล้า เงินเดือนเพิ่งออกวันนี้ พอจ่ายค่ามือถือปุ๊ปเราโทรหาเธอคนแรกเลย” เขาว่า “ช่วงนี้ช็อต เงินมันเฟ้อน่ะ” “เหรอ” ฉันพูดเพราะไม่รู้จะพูดอะไร อยากตอกกลับว่ามือถือตัดก็ใช้โทรศัพท์บ้านสิยะ! หรือไม่หยอดตู้เอาก็ได้ แต่ก็ได้แค่พูดไปว่า “มือถือตัดไม่เห็นน่าอายเลย เราก็โดนตัดบ่อยๆ” “แน่ะ” เสียงเขาที่ปลายสาย “ก็แล้วทำไมเธอไม่โทรมาเองล่ะ เราก็รออยู่เหมือนกัน”


แล้วเราก็คุยกันนั่นนี่ หลังเลิกงานพรุ่งนี้เราจะไปซื้อซีดีและไปดู School of Rock ด้วยกัน ฉันบอกเขาว่าไม่ชอบแจ๊ค แบล็ค เขาแย้งว่า ทำไมล่ะ แจ๊ค แบล็ค ก็ตลกดีออก


 

ภาพประกอบ (ไม่เกี่ยวกับเรื่อง) Emgreen & Dragset “The Ecstasy and the Agony, 2014” Epoxy resin sculpture on wooden plinth; sculpture: white super matte lacquer finish; plinth: black high polish lacquer finish Courtesy of Galerie Perrotin

Comentários


bottom of page