top of page
  • Black Facebook Icon
  • Instagram

Welcome to the world where truth doesn't hurt

เป็นเอก: "บางทีปัญหามันก็เป็นเรา เราออกไปค้นพบว่า ไอ้เหี้ย กูแม่งไม่ได้เก่งเท่าที่กูคิดว่ะ"

สัมภาษณ์โดย จักรพันธุ์ ขวัญมงคล และ สุทธาสินี สุขโข

 

ทำหนังมา 20 ปี เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ 9 แล้ว พบว่ามันง่ายขึ้นหรือมันยากขึ้น เมื่อเทียบกับ 8 เรื่องที่ผ่านมา มันยากขึ้นทุกเรื่อง มันไม่เคยง่ายขึ้น เพราะทุกเรื่องจะมีความท้าทายใหม่เกิดขึ้น มันเปรียบเทียบไม่ได้ว่าเรื่องนี้ง่ายกว่า พลอย หรือเปล่า แต่ก็รู้ว่าทุกครั้งที่เริ่มโปรเจกต์ใหม่มันก็ยากขึ้นทุกที เราทำหนังเสร็จเรื่องนึงน้ำหนักลดลง 5 กิโลฯ ทุกครั้ง


ยังใช้พลังงานเยอะอยู่อีกหรือ นึกว่าสบายๆ แล้ว เดี๋ยวนี้ยิ่งต้องใช้พลังงานมากกว่าเมื่อก่อน ตอนนั้นยังหนุ่ม ยังมีพลังเหลือเฟือ ส่วนตอนนี้ต้องรักษาโฟกัสมาก อะไรที่ไม่เกี่ยวกับเราก็จะไม่ยุ่งเลย เพราะไม่อยากเสียพลังงานโดยเปล่าประโยชน์ แต่เรื่องนี้มันยังตรงที่เรายังคับตัวเองให้เขียนพล็อตเยอะ ซึ่งเราอาจจะไม่ค่อยถนัดที่จะจัดการกับมัน คือมันมามีความยากตอนตัดต่อ เราตัดต่อเรื่องนี้เกิน 1 ปีด้วยซ้ำไป ในขณะที่เรื่อง พลอย 2 เดือนก็ลงตัวแล้ว

Samui Song (2018)

เพราะว่ามันมีพล็อตเยอะอย่างที่บอกใช่ไหม ใช่ เรื่องมันเยอะ อาจจะเยอะเกินไปด้วย แต่ต้องบอกว่าธรรมชาติของการทำหนัง ไม่ว่าใครจะพูดยังไง ประสบการณ์แม่งไม่ค่อยช่วยอะไรเท่าไหร่ ประสบการณ์แค่ช่วยให้เราใจเย็นขึ้นแค่นั้นเอง สมมุติว่าอะไรไม่เป็นไปตามแผน มันจะไม่ตกใจเร็วเท่าเมื่อก่อน เมื่อก่อนมันจะ panic เร็วมาก เดี๋ยวนี้รู้แล้วว่าจะค่อยๆ จัดการกับมันไป ค่อยๆ หาทางออกไป แต่ว่าความยากแม่งแล้วแต่ดวง บางเรื่องก็จะยากมาก บางเรื่องก็จะยากน้อยหน่อย สมมุติว่าเราเป็นคนทำราดหน้าเจ้าดังๆ ลองไปกินสิ เราจะอิจฉาเขาฉิบหายเลย ประสบการณ์แม่งช่วยให้ทุกอย่างนิ่งจริงๆ รสชาติแม่งก็นิ่ง ทุกอย่างนิ่ง แค่หยิบปั๊บๆ อร่อยแน่นอน แล้วไปกินทีไร เขาก็ไม่เคยพลาด แต่ของเรามันคล้ายว่า เรื่องนี้แม่งราดหน้า เดี๋ยวเรื่องต่อไปกะเพราไก่ อาหารฝรั่ง หรือติ่มซำ ประสบการณ์ถึงไม่ช่วยให้อะไรมันนิ่ง มันวางใจไม่ได้ว่ามันจะออกมาดีหรือไม่ดี เราว่านั่นเป็นความเครียดของการทำหนัง ขณะเดียวกันก็เป็นความสนุกด้วย


พูดได้ไหมว่ามันยากตรงที่ว่าเราไม่รู้ว่าในแต่ละเรื่องอะไรมันจะยาก ใช่ เราไม่รู้เลยว่าปัญหามันจะเป็นอะไร หรือบางทีตัวปัญหามันก็เป็นเรา เราออกไปค้นพบว่า ไอเหี้ย กูแม่งไม่ได้เก่งเท่าที่กูคิดว่ะ เอาไม่อยู่อย่างเนี้ย มันก็เป็นปัญหา


มีสิ่งที่เป็นเอกเอาไม่อยู่ด้วยหรือ มีๆ ตอน Invisible Waves นี่เห็นคาตาเลยว่าเอาไม่อยู่จริงๆ พอแม่งใหญ่แล้วเละเลอะเทอะแบบนี้ ถ่ายโดดซีเควนซ์มันเอาไม่อยู่จริงๆ แต่ช่วงที่ความมั่นใจมัน 1000% ช่วงที่อาชีพของคุณกำลังพีค คือเรื่อง ฝัน บ้า คาราโอเกะ ไม่นับ ถือว่าเราได้ทำหนังแค่นั้นก็เป็นเหตุผลเพียงพอแล้ว แต่พอ เรื่องตลก 69 มา Last life in the Universe งานเรามันดีขึ้นเรื่อยๆ แล้วเราก็ดังมากขึ้นเรื่อยๆ จากไทยกลายเป็นระดับโลก มันทำให้ความมั่นใจสูงมาก สมมุติเราออกไปทำ มนต์รักทรานซิสเตอร์ หรือ Last Life in the Universe เรารู้สึกเลยว่าแม่งไม่มีทางพลาด แค่ว่าพอมันไม่ได้อยู่ในช่วงนั้นของชีวิตแล้ว แล้วความกระตือรือร้นมันไม่ได้เยอะขนาดตอนนั้นแล้วมันจะไม่มีความมั่นใจขนาดนั้นเลย

Last Life in the Universe (2003)

มันก็เป็นปกติของทุกอาชีพรึเปล่าที่จะมีไต่ขึ้นไต่ลง การทำหนังแม่งคือกิจกรรมที่อาศัย self-believe เยอะมาก มันไม่ใช่ความเชื่อมั่นนะ แต่มันคือความเชื่อในความสามารถของตัวเองอย่างรุนแรงมาก เหมือนใจสั่งกาย เพราะว่าหนังเรื่องนึงมันจะดี ทุกอย่างมันก็ต้องดีไปหมดเลย บทต้องดี นักแสดงต้องดี กำกับต้องดี ถ่ายภาพต้องดี ตัดต่อต้องดี มิกซ์เสียง ซาวด์หรือดีไซน์ต้องดีหมด 5-6 อย่างต้องดีหมดเลยมันถึงจะดี แต่ถ้าหนังมันจะเหี้ยนะ ต่อให้ดีหมดเลย แต่เหี้ยอย่างเดียวแม่งก็เหี้ยเลย คุณทำทุกอย่างออกมาดี แต่ตัดต่อหรือนักแสดงเล่นเหี้ยนี่เหี้ยไปเลยนะ เพราะฉะนั้นกิจกรรมการทำหนังมันเป็นกิจกรรมที่มันเอาอยู่ยากมากมันเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะบอกว่าพี่เขามาขนาดนี้แล้ว ไม่ต้องกลัว ต้องออกมาดีแน่ๆ แม่งไม่จริงเลย


แปลว่าอาชีพผู้กำกับนี่มันก๊อกสั่นขวัญแขวนอยู่เหมือนกัน เพราะเราต้องไปพึ่งองค์ประกอบอื่นๆ ตลอดเวลา ถ้าคุณผัดก๋วยเตี๋ยวไป 20 ปี ตั้งใจกับมันจริงๆ เดี๋ยวแม่งก็ดี แต่กำกับหนังนี่ต้องพึ่งองค์ประกอบอื่นเต็มไปหมดเลย บางอย่างก็อยู่ในความควบคุมเรา บางอย่างก็ไม่ นักแสดงเนี่ยไม่อยู่ในความควบคุมของเราเลย เขาเป็นคนนะ บางทีแบบ โอ้โห ดูเทปแคสติ้งแม่งดีฉิบหาย ดูผลงานเก่าๆ แม่งดีฉิบหาย พอถึงตอนเปิดกล้องแล้วแม่เขาเป็นมะเร็งจะทำยังไงวะ แล้วสมมุติแม่งต้องเล่นหนังฟีลกู้ดอีก


แต่เรามีความเชื่อมั่นอย่างหนึ่งตรงที่ เราว่าเราไม่มีวันทำหนังออกมาเหี้ยแน่ๆ ชีวิตนี้ ถ้าตราบใดที่เรายังมีความสนใจจะทำมันอยู่ เพียงแต่เราอาจจะทำหนังบางเรื่องดีน้อยกว่าบางเรื่อง มันจะไม่มีหนังเรื่องไหนที่เราทำออกมาแล้วเราต้องเอาปี๊บคลุมหัวเดิน เพราะเราทำงานหนักมาก แล้วเรามีความตั้งใจสูงมาก เรามีวินัยสูงมาก แล้วเราเป็นห่วงชื่อเสียงเรามาก หมายถึงชื่อเสียงคือสิ่งที่สำคัญที่สุดของเรา เราไม่ได้เงินเรายังไม่แคร์เลย แต่แค่ว่าหนังเรามันต้องท็อปฟอร์มที่สุดเท่าที่มันจะเป็นไปได้ คือถ้าคุณมีความตั้งใจแบบนี้ และมีฝืมือที่จะแมตช์มันได้ และเชี่ยวชาญงานนี้จนสามารถทำอย่างนี้ได้ มันไม่พลาดหรอก แต่มันอาจจะไม่ดีเท่าที่คิด

ฝัน บ้า คาราโอเกะ (1997)

แต่ในตอนนั้น ฝัน บ้า คาราโอเกะ ก็ได้การตอบรับที่ใหม่มาก เป็นหนังที่เท่มากสำหรับเด็กในยุคนั้น เพราะว่าเรามาจากอีกโลกหนึ่งไง เราไม่ได้มาจากโลกหนังไทย จำได้ว่าตอนที่บอกเพื่อนๆ ว่าจะไปทำหนังไทย ‘มึงไปทำเหี้ยอะไรวะ’ มันเหมือนเราไปบอกเพื่อนว่าเราจะไปเป็นขอทานยังไงไม่รู้ เพราะว่าหนังไทยดูแย่ในยุคนั้น และอีกอย่างหนึ่งที่รู้แน่คือมึงจนแน่ๆ ผู้กำกับหนังไทยสมัยก่อนนี่คือเอาบ้านไปจำนองกันเลยนะ ดูท่าว่ากูน่าจะ suffer มากเรื่องเศรษฐกิจ เรามาทำหนังไทยเราก็จนไปเยอะเหมือนกัน เพียงแต่ว่าเรามีอาชีพที่มีค่าตอบแทนสูงตอนทำโฆษณาแค่นั้นเอง เราก็เลยไม่ได้จน และถ้าเราไม่ได้ทำหนังไทย ป่านนี้เราคงเป็นเศรษฐีไปแล้ว ทำโฆษณาอย่างเดียวแบบที่ทุกคนเขาก็ทำกันก็รวยฉิบหายเลย


แปลว่างานโฆษณาอย่างเดียวมันเติมเต็มชีวิตเราได้ในตอนนั้นไม่ได้ใช่ไหม ไม่ได้ แล้วความมั่นคงทางการเงินมันไม่ใช้จุดประสงค์ของชีวิตเรา เราไม่ได้เคยอยากรวยเลย เราเติบโตมาในครอบครัวที่เป็นชนชั้นกลางมาก ไม่ได้รวย ไม่ได้จน แต่เราไม่เคยขาดอะไรในชีวิต แม้ว่าเราไม่ได้มีทุกอย่าง แต่เงินก็ไม่ใช่สิ่งที่เราอยากได้ในชีวิต ต้องการจะมีเงินให้มีชีวิตอยู่อย่างค่อนข้างสบายได้ แต่ว่าถ้าเงินเติมเต็มเราได้ถึงจุดนั้น ก็ไม่ได้ต้องการอะไรมากกว่านั้น เพราะฉะนั้น เรื่องนั้นมันก็ไม่ใช่ แต่การตัดสินใจไปทำหนังนี่มันเหมือนกับว่าอยู่ๆ เราจะไปทำอะไรที่แม่งกระจอกฉิบหายเลย


เพราะว่าตอนนั้นหนังไทยซบเซามาก ขณะที่คุณเป็นคลื่นลูกใหม่ เพราะฉะนั้นรู้แน่ๆ ว่าตอนที่ทำ ฝัน บ้า คาราโอเกะ เราไม่ได้มาจากโลกนั้นเลย เรามาจากอีกโลกหนึ่งเลย ซึ่งเป็นโลกที่ค่อนข้างจะเฟี้ยวฟ้าวมาก ก็คือโลกโฆษณา แล้วเราก็กระโจนเข้ามาในสนามใหม่เลย

แต่เรามีภูมิคุ้มกันอย่างหนึ่ง เราเป็นคนโชคดีตรงที่ว่าไม่ว่าเราจะกระโดดเข้าไปทำอะไรที่เราไม่เคยทำมาก่อน เราจะทำอะไรก็ตาม เราจะไม่เคยทำตามกฎเขา ซึ่งคนส่วนมากพลาดตรงที่พอย้ายสนามไปเล่นก็จะทำตัวตามขนบของเขา แต่เราโชคดีตรงที่เราไม่เคยมีความคิดแบบนั้นเลย แล้วเราไม่รู้สึกแย่ที่ไม่ทำตามขนบ


ไม่รู้สึกแย่กับตัวเองหรือใคร รับไม่ได้ก็ช่วยไม่ได้ ซึ่งเราเชื่อว่าทุกขนบหรือทุกวงการในโลกนี้มันมีมาตรการมาดีลกับคนไม่ทำตามกฎอยู่แล้ว อย่างการเล่นฟุตบอลถ้าเอามือไปแตะโดนบอลคุณก็โดนใบเหลือง โดนลูกโทษ และในที่สุดก็โดนไล่ออก มันมีมาตรการทั้งนั้น เราก็เลยไม่ต้องเคารพขนบไง เพราะว่าถ้าเราลงไปในขนบนั้น เป็นตัวของตัวเองเต็มร้อย แล้วมันฝืนกับขนบนั้นมาก เดี๋ยวเขาก็ลงโทษเราเอง ซึ่งก็แฟร์ เราจะยอมโดนลงโทษแล้วก็เลิกกันไป แต่มันกลายเป็นข้อดีที่ว่าพอเราโดดลงไป เราก็ไปสร้างสิ่งที่มันใหม่ได้เพราะเราไม่ได้คิดตามขนบเขา


กลายเป็นว่าอะไรที่เราทำก็กลายเป็นอันแรก แต่อย่าลืมว่าผลลัพธ์ของ ฝัน บ้า คาราโอเกะ ที่ออกมาสำหรับเด็กในยุคนั้น มันอาจจะดูแปลกมาก เท่มาก เปรี้ยวมาก แต่เอาเข้าจริงๆ คือหนึ่ง รายได้มันก็แย่ กับสอง ถ้าถามความรู้สึกส่วนตัว มันก็ไม่ใช่หนังที่ดีหรอกนะ มันเป็นหนังที่ไม่ลื่นไหล มีแต่ท่า มีแต่คอสตูม แต่งตัวดี แต่ข้างในมันก็ไม่ค่อยเวิร์ค


ตอนนั้นเห็นได้ทันทีเลยหรือ เห็นทันทีเลย เราเป็นคนที่ตัดหนังเสร็จวันสุดท้าย เรารู้ๆ เรื่องนี้แม่งดีหรือแย่ เราไม่ต้องรอนักวิจารณ์เลย พวกเสียงวิจารณ์หรือบทวิจารณ์ถึงไม่ค่อยมีผลทำอะไรเราไม่ค่อยได้ เพราะว่าเรื่องไหนที่เขาด่าเราเกินเหตุ เราก็จะรู้ว่ามันไม่ได้เหี้ยขนาดนั้น อันนี้แสดงว่ามึงหมั่นไส้กูแล้วล่ะ หรือบางเรื่องที่ชมว่าดีเลิศ จริงๆ แล้วมันไม่ได้เลิศขนาดนั้นนี่ก็เวอร์เกิน แล้วเรื่องไหนที่มันไม่ป็อปปูลาร์เลยแต่เรารู้สึกว่ามันดี เราก็ยืนยันว่ามันดีกับตัวเรา

เรื่องตลก 69 (1999)

ตัดสินใจเลือกนักแสดงจากอะไร เดาเอา อย่างกรณีของหมิวเรารู้ว่าตอนนั้นเขาดังมาก และเรารู้ว่าหนังตัวเองแป้กมาเรื่องหนึ่งแล้วกับสตูดิโอ ถ้าเราจะทำเรื่องต่อไป แม่งมีอยู่สองอย่างเลย คือเราต้องทำในราคาที่ถูกมาก ถูกเท่าเรื่องแรกหรือไม่ก็ถูกลงไปอีก และเราต้องมีดาราที่เขาไม่ปฏิเสธไม่ได้แน่ ชั่วโมงนั้น เราเอาบทหนังไปยื่นให้ใครก็ตามแล้วบอกว่ามีหมิวเล่น ไม่มีใครปฏิเสธหรอก เป็นไปไม่ได้เลย ถ้าปฏิเสธก็บ้า เพราะฉะนั้น เสร็จเราเลย ทุกอย่างแม่งอยู่ในมือกู แล้วเราก็ทำได้เลย หนังทั้งเรื่องอยู่ในวันเดียว 24 ชั่วโมง คอสตูมไม่ต้องเปลี่ยนให้เปลือง ทุกอย่างอยู่ในอพาร์ทเมนต์เดียว ห้องเดียว


การเอานวนิยายมาทำหนังอย่าง ‘มนต์รักทรานซิสเตอร์’ มองว่าเป็นความท้าทายหรือ มันเป็นความท้าทายมาก ซึ่งยังไม่นับว่า นอกจากเรื่องคนอื่นแล้ว แม่งเสือกเป็นเรื่องคนบ้านนอกด้วยนะ ซึ่งเราไม่รู้เรื่องเลยในชีวิต เราเกิดกรุงเทพ โตกรุงเทพ แล้วก็ไปนิวยอร์ก เรียกได้ว่าไม่รู้จักจากต่างจังหวัดเลย


มนต์รักทรานซิสเตอร์เวอร์ชันนวนิยายกับหนังแตกต่างกันมาก ไม่มีความเหมือนเลย เพราะผมไม่ชอบหนังสือเล่มนี้ มันโป๊งชึ่ง แล้วจะมีประเภทตัวละครถูกแนะนำแล้วก็หายไป พอมาทำเป็นหนังมันทำไม่ได้


มนต์รักทรานซิสเตอร์เวอร์ชันนวนิยายจะมีความวิเคราะห์วิพากษ์สังคมในยุคนั้น แต่พอทำเป็นหนังเรากลับไม่รู้ว่าเป็นยุคไหน เหมือนคุณสร้างโลกขึ้นมาใหม่ ใช่ มันมีทางเดินรถไฟฟ้า แต่มีเพลงสุรพล เพราะว่าเราไม่รู้จักโลกนั้นเลย โลกชนบทที่เขาว่ากัน ตอนแรกไปทำรีเสิร์ชที่งานวัด ซึ่งงานวัดในหัวเรามันเป็นแบบหนึ่ง แต่พอไปงานวัดจริงๆ มันดูโคตรเหี้ยเลย งานวัดจริงๆ แม่งเอาเสื้อผ้าออฟฟิศชิคๆ มาขายกัน เหมือนซอยละลายทรัพย์ แล้วก็เอารองเท้า (อาดิ) แดตปลอม ไนกี้ปลอมมาขาย ทุกอย่างเป็นพลาสติกหมดเลย เราก็เลยเลิกรีเสิร์ช เพราะแม่งเศร้า คิดอย่างเดียวว่า ถ้าเราทำให้คนดูตามตัวละครได้ ทำให้มันสงสาร อินไปกับตัวละครได้ โลกไหนเขาก็ไม่แคร์ว่ะ จะเกิดที่เคนย่าก็ได้ เกิดที่ไนจีเรียก็ได้

มนต์รักทรานซิสเตอร์ (2001)

ถ้าเป็นหนังเรื่องอื่นคนดูอาจจะบอกว่ามันไม่เมกเซนส์ เรามีความเชื่อ เป็นความมั่นใจอย่างหนึ่งตอนทำ เรื่องตลก 69 ถ้าย้อนกลับไปดูจะเห็นว่ามันมีรูโหว่จริงๆ ในสคริปต์ มีอะไรไม่เมกเซนส์เต็มไปหมด แต่มันสนุกซะจนคนตั้งคำถามไม่ทัน เราเลยคิดว่า เวลาคนไปดูหนัง หนังมีโลกของมัน ถ้าเราดูดคนเข้าไปในนั้นได้จริงๆ คนจะไม่มาตั้งคำถาม แล้วความสนุกนี้ไม่ได้มาจากเรื่องนะ ความสนุกที่มันจะดูดคนเข้าไปมันมาจากตัวละครและนักแสดงที่เล่นตัวละครตัวนั้น การผสมผสานของสองคนนี้มันจะดูดคนเข้าไปในหนัง ถ้าเกิดเราเขียนตัวละครตัวนั้นได้ดี แล้วคนดูเชื่อมต่อกับตัวละครนั้นได้มันจะเข้าไปได้ง่ายมาก ยิ่งเป็นนักแสดงที่เก่งด้วยได้แน่นอน อันนี้เป็นบทเรียนจาก เรื่องตลก 69 แล้วมันไม่ใช่พล็อตเรื่อง เพราะพล็อตมันมีอะไรไม่เมกเซนส์เต็มไปหมดเลย ‘จริงเหรอ ปลอมพาสปอร์ตกันแบบนี้เหรอ’ โคตรละคร ป.4 เลย เพราะฉะนั้นเราเลยเลิกรีเสิร์ชมนต์รักทรานซิสเตอร์ แล้วสร้างโลกที่เราอยากเห็น เมื่อหลายอาทิตย์ก่อนต้องนั่งดูเรื่องนี้อีกครั้งเพื่อเขียนอะไรบางอย่าง พอกลับไปดูจะรู้ว่ามันไม่เชยเลย เหมือนทำอาทิตย์ที่แล้ว เพราะความที่มันไม่ได้อิงอะไรกับความเป็นจริง แล้วหนังเราทุกเรื่อง พอมาดูตอนนี้ มันมีสิ่งนั้นจริงๆ คือมันไม่รู้เวลา ไม่รู้ยุค เพราะสิ่งที่ใส่ลงไปในหนังมันเป็นความชอบของเราหมดเลย เราชอบอะไรเราก็หมกเข้าไป สร้างเป็นเรื่องขึ้นมา มันเลยอยู่เหนือกาลเวลามาก


ซึ่งการสร้างโลกตัวเองมันชัดมากในอีกสองเรื่องถัดมา Last Life in the Universe กับ Invisible Waves ที่เหมือนคุณสร้างห้องลับแล้วจับทุกอย่างยัดเข้าไปในห้อง อันนี้มันเกิดจากอะไร เพราะข้อจำกัดหรือเพราะมาเจอคนเขียนบทอย่างปราบดา หยุ่น มันถูกสร้างเพราะเราต้องเริ่มไปร่วมงานกับคนที่เราควบคุมเขาไม่ค่อยได้ อย่าง ปราบดา หยุ่นคริสโตเฟอร์ ดอยล์ หรือ ทาดาโนบุ อาซาโน่ เราไม่สามารถทำตามกฎเกณฑ์เดิมที่เราทำมาในสามเรื่องแรกได้


กับสามเรื่องแรกร่วมงานกับนักแสดงที่ขีดเส้นชัดเจนว่ายังไงเขาก็ต้องฟังเรา ทั้งผู้กำกับภาพหรือทีมงานก็ต้องฟัง ทุกอย่างต้องไปตามผู้กำกับ เพราะผู้กำกับคือแกนของหนัง แต่นี่คุณเหมือนรวมเป็นซูเปอร์ทีม เหมือนทีมรวมดาราโลกมาเตะกระชับมิตรหาเงินการกุศล ซึ่งสังเกตไหมทีมรวมดาราโลกส่วนใหญ่จะเละ แล้วเราเข้าไปด้วยความรู้สึกว่าเละแน่ๆ แต่ก็เริ่มเบื่อการทำหนังแบบ มนต์รักทรานซิสเตอร์ หรือ เรื่องตลก 69 ทุกอย่างชัดเจนไปหมดเลย อยากให้คนรู้สึกแบบนี้ก็กดปุ่มนี้ อยากให้คนร้องไห้ก็กดปุ่มนี้ รู้สึกว่าเราแม่งโคตรเอาอยู่เลย เราทำไปอีก 15 เรื่องก็ได้แบบนั้น แล้วมันเบื่อ มันเบื่อในความชัดเจนอันนั้น แล้วเราก็ไม่รู้ว่าเราจะไปทำอย่างอื่นคืออะไร เราไม่รู้แนวทาง แค่รู้ว่ามันเบื่อ


รู้ว่าเละ แล้วทำไมถึงตัดสินใจลงเล่นทีมรวมดาราเอเชียในตอนนั้น มันเบื่อสิ่งที่ทำมา ทุกอย่างมันชัดเจนไปหมดเลย เราเลยมองหาอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อ พอดีข้อเสนอนี้มันเข้ามาในชีวิตแล้วมันเข้ามาแบบรีบร้อน ไม่มีเวลาตัดสินใจ ดันเซย์เยสไปแล้ว

Invisible Waves (2006)

ข้อเสนอของใคร ของโปรดิวเซอร์ฝรั่ง เขาเห็นเรา 3 คนรู้จักกัน คริส เราและอาซาโน่ก่อน ปราบดายังไม่เกี่ยว เขาก็มาถามเราว่าอยากทำงานกับ คริสโตเฟอร์ ดอยล์กับอาซาโน่ไหม เราบอกว่าอยาก สองฝั่งนั้นเขาก็อยากร่วมกับเราด้วย โปรดิวเซอร์ก็ให้เขียนบท แต่ว่าพอเซย์เยสไป มันมีเวลาจำกัด เพราะอาซาโนเขาดังมากในญี่ปุ่น เขาเหมือนจอห์นนี่ เดปป์ ตอนนั้นเขาดังจากเรื่อง Ichi The Killer แล้วเขาก็ไม่ได้เป็นนักแสดงอย่างเดียว ยังเล่นดนตรีด้วย ก็เลยฉิบหายแล้วต้องรีบทำ


เราก็เลยไปเอาบทเก่ามา ที่เคยเขียนเอาไว้แล้วไม่ได้ทำ แต่ไม่ได้เป็นเรื่องนี้เลยนะ แค่คล้ายๆ ไม่ได้เป็นตัวละครผู้ชายญี่ปุ่นเลย แล้วในเวลาอันรวดเร็วเราก็กลัวว่าจะเขียนบทออกมาเข้าทางที่เราเคยอีก ซึ่งเราไม่อยากทำแบบนั้นแล้ว พอดีเรารู้จักปราบดา หยุ่น ก็เลยไปเล่าเรื่องที่เราเขียนให้เขาฟัง เขาก็หายไป 2-3 เดือน แล้วก็ส่งเรื่องกลับมาไม่เหมือนที่เราเล่าเลย เปลี่ยนใหม่หมดเลย แล้วก็เป็นผู้ชายญี่ปุ่น ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นที่ปราบดาเข้ามาร่วมงานนี้ แล้วก็ทำเลย ตอนทำก็งงไปตลอด ทาง คริสโตเฟอร์ ดอยล์ ก็ไม่อยู่กับร่องกับรอยเลย แต่เราก็มีโชคช่วยมีพระที่ดีคุ้มอยู่ เรามาร่วมงานกับ คริสโตเฟอร์ ดอยล์ คือเราไม่ได้เป็นแฟนหนังหว่อง กาไว ถ้าเป็นแฟนหนัง หว่อง กาไว อาจจะลำบาก แต่เราไม่ได้ชื่นชอบงานเขา เขาเป็นคนพิเศษจริงๆ แต่งานเขาหลายๆ งานเราไม่ได้ชอบ หนัง หว่อง กาไว ก็มีบางเรื่องที่เราชอบแต่ไม่ได้ชอบทุกเรื่อง แล้ววิธีถ่ายหนังของคริสฯ มันก็เวิร์กกับบางเรื่อง บางเรื่องมันก็ไม่เวิร์ก ตอนนั้นเราคิดแบบนั้น ทีนี้พอเราไม่ได้เป็นแฟนคลับมันก็ง่ายที่จะบอกว่า กูไม่เห็นอย่างนี้ว่ะ ย้ายมาตรงนี้ไหม แล้วมันก็จะเหี้ยๆ ใส่เราหน่อย แต่โชคดีอีกตรงที่คริสโตเฟอร์ ดอยล์แม่งชอบเรามาก


จนกลายเป็นผลงานต่อมากับคริสโตเฟอร์ ดอยล์ เรื่อง Invisible Waves แต่ไม่ว่าทั้งโลกจะบอกว่า Last Life in the Universe ดีแค่ไหน มันก็มีบาดแผลที่เราเห็นแล้วเรารู้สึกว่า แม่งไปไม่สุดว่ะ กูแม่งเสือกไปประนีประนอมกับความกลัวตอนนั้น ไม่เคยเจอสภาพนี้ไง มันก็เลยมีความกลัวบางอย่าง พอมาทำ Invisible Waves ก็เลยเอาวะ กูจะไม่กลัว จะทดลองไปให้สุด ตกเหวก็ตก อะไรที่สงสัยในการทำหนังเราจะทดลองให้หมด


มีอะไรบ้างที่อยากทดลองในตอนนั้น ในเรื่อง Invisible Waves ไม่มีช็อต close up เลย กลางกับกว้างทั้งเรื่อง ซึ่งหนังฆาตกรรม ฟิล์มนัวร์เนี่ย close up มันสร้าง tension เราจะลองให้หมด รสจืดมันเป็นยังไงวะ ตกเหวก็ตก แล้วแม่งก็ตกจริงๆ แต่มันก็มีหลายคนชอบเรื่องนี้ เราไม่เคยกลับไปดูมันจริงๆ จังๆ เลยหลังจากที่ล้มหน้าฟาดกับมัน ตอนทำ Last Life in the Universe เสร็จคิดว่าชีวิตนี้กูคงเป็นคนที่พระเจ้าเลือกมาแล้วว่าไม่ใช่คนทำหนังเหี้ยแน่ๆ ขนาด Last Life in the Universe ทำโดยไม่รู้ว่าทำอะไรอยู่ยังออกมาเวิร์กเลย ส่งกูไปได้รางวัลที่เวนิช อ๋อ แสดงว่ากูถูกเลือกโดยพระเจ้าไม่มีวันทำหนังเหี้ยแน่ๆ พอเจอเรื่องนี้เข้าไป แม่งเปรี้ยง! ตื่นเลย


หลังจากนั้นเป็นยังไง คิดวางมือจากอาชีพนี้ไปเลยไหม ไม่เลยฮะ รีบกลับมาทำเรื่อง พลอย กลับมาเลียแผล ทำหนังเล็กๆ ดีกว่าว่ะ คนทะเลาะกันในห้องเล็กๆ ของโรงแรมห้องเดียว เล่นกันแค่ 3 คน เกิดในวันเดียว เพียงแต่ว่ามันไม่เหมือนยุคแรกตรงที่เราไปได้ vocabulary ทางด้านภาพมาจาก คริสโตเฟอร์ ดอยล์ เราพกมาเต็มกระเป๋าเลยทั้งความรู้และวิธีการ กลับมาถ่ายทอดกับพี่แดง (ชาญกิจ ชำนิวิกัยพงศ์) ผู้ซึ่งเป็นตากล้องคู่ใจเรา แล้วอีกอย่างที่ไม่เหมือนกับยุค ตลก 69 ก็คือธีมของเรื่องมันผู้ใหญ่มาก มันเป็นเรื่องชีวิตคู่ แล้วมันเรียลลิสติกมากๆ บทพูดนี่พวกผู้หญิงที่มีบาดแผลในชีวิตแต่งงาน เวลาไปดูมาถึงก็มาบอกว่า พี่เขียนได้ไง คือทะเลาะๆ กันผู้ชายก็จะต้องบอกว่ามีเมนส์รึเปล่าเนี่ย

พลอย (2007)

คือถ้าไม่เหี้ย เขียนไม่ได้แบบนี้

ใช่ แล้วพูดจริงๆ พลอย เป็นหนังที่ดีที่สุดของเราเลย ในความเห็นเรา เราชอบที่สุด เพราะมันกลมกล่อมไปหมด ในขณะที่มันพูดกันทั้งเรื่อง แต่ไม่น่าเบื่อเลย มัน suspense มันเป็นหนังแบบที่เราอยากทำมานานมาก แล้วเราไม่คิดว่าเราจะมีความสามารถทำได้


คุณเคยบอกว่าตอนนั้นกลับมาทำพลอยแล้วได้ความสุขกับคืนมา กลับมาจริงๆ มันเป็นความสุขที่หายไปตอนทำ Invisible waves ทุกอย่างมันอีรุงตุงนังหมดเลย ทุกอย่างมันใหญ่โตเป็นเรื่องหมดเลย แต่มันโทษใครไม่ได้หรอก และเราก็ถือว่ามันเป็นของขวัญนะที่ได้ไปทริปแบบนั้น แต่ตอน พลอย มันเป็นความรู้สึกที่ว่า กูเข้ามาทำหนังวันแรกด้วยเหตุผลนี้นี่หว่า ได้อยู่กับกองถ่าย แล้วก็ค่อยๆ เห็นมันมีชีวิตขึ้นเรื่อยๆ ต่อหน้าเรา ได้ถ่ายเรียงซีเควนซ์แบบที่ชอบ ซีน 1 ไปซีน 2 ไม่ต้องโดด ความสุขมันก็เลยกลับมา แล้วความสุขอีกอย่างหนึ่งก็คือได้เห็นการแสดงของสายป่านทุกวัน แม่งเป็นความสุขใจในชีวิตจริงๆ คือแบบเหี้ยไรวะ มันมาจากไหน มันเป็นใคร


ไปเจอสายป่านได้ยังไง ทีมแคสติ้งไปเจอตอนเดินห้างอยู่ สายป่านนี่ถือเป็นกรณีพิเศษ หลังจากเล่นหนังเราแล้ว ไปเล่นหนังอะไรก็ตามแม่งเวิร์กหมดเลย คือตอนนี้ไม่ต้องพูดถึงแล้ว ฝีมือมันไปในระดับแบบ คือตอนเขาเล่นเรื่อง พลอย เขาเล่นหนังไม่เป็น คล้ายๆ มันไกด์โดยสัญชาตญาณของเขากับเราล้วนๆ แต่ว่าตอนนี้นี่ โอโห ใครไปเล่นกับเขาตายหมด เราพึ่งเจอกิ๊บซี่ (วนิดา เติมธนาภรณ์) เขาก็มานั่งคุย กิ๊บซี่บอกว่า พึ่งไปเล่นละครกับสายป่านมา เชี่ย...แม่ง...หนูตายห่าไปเลย มันเล่นลึกมากเลย มันไม่เล่นธรรมดา มันเล่นแบบลึกมาก

แล้วดูตอนสายป่านเล่น Concrete Cloud สิ ไม่มีโมเมนต์ไหนที่เราไม่เชื่อเลย เขาพิเศษจริงๆ แล้วไม่กลัวใครเลย ไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น แม่ง fearless ทำอะไรผิดกลางเทค ไม่เคยคัทตัวเองแล้วขอโทษ ฝ่าไปเรื่อยๆ นักแสดงส่วนมากพอทำอะไรผิดหรือพูดผิด จะขอโทษค่ะพี่ ขอโทษ สายป่านทำของหล่นก็แค่หยิบของขึ้นมา แล้วก็เล่นต่อ ชีวิตจริงคนเราก็ทำของหล่นไม่ใช่เหรอวะ คือส่วนมากเราจะบอกนักแสดงเราว่าถ้าเกิดอุบัติเหตุระหว่างทาง ถ้าไม่ได้ยินเราบอกว่าคัทให้เล่นแบบด้นไปเองนะ ทุกคนก็จะบอกว่าค่ะๆ-ครับๆ แต่ถึงเวลามันจะคัทตัวเอง มันเผลอ หรือลืมบทไปต่อไปไม่ได้ก็จะขอโทษ สายป่านไม่เคยขอโทษ ไม่เคยคัทตัวเองเลย มันทำอะไรผิดมันก็กลับมาทำสิ่งที่ถูกต่อ เพราะมันไม่ใช่หน้าที่เขาที่จะมานั่งคัท มันเป็นหน้าที่เรา เล่นผิดเล่นถูกเขาก็เล่นไป แล้วเราดูหนังที่เขาเล่นหลังจากนั้นมาเรื่อยๆ แม่งก็อะเมซิ่งทุกๆ เรื่องเลย อวสานโลกสวย นี่ โอ้โห...อันนี้คือของจริงเลยล่ะ ฝีมือล้วนๆ ไม่ได้ฟลุ๊ก

นางไม้ (2009)

เรื่องต่อมาคือ นางไม้ คุณก็ใช้กิ๊บซี่ในอีกแบบหนึ่งอยู่ดี ใช่ นางไม้ เราอยากทำหนังลึกลับ แต่เราต้องไปบอกนายทุนว่าเป็นหนังผี ไม่อย่างนั้นเขาไม่ให้ตังค์ แต่มันเป็นหนังผีที่คนทำอยู่ฝั่งผี คือหนังผีจะชอบทำให้ผีเป็นตัวร้าย มันต้องมาแหกอกหลอกคน แล้วคนก็ต้องเป็นเหยื่อ ต่อให้เป็นหนังผีซีเรียส ผีมันก็ยังถูกทำให้เป็นตัวร้ายอยู่ดี ในขณะที่เราทำ นางไม้ เพราะต้องการจะบอกว่าคนแม่งน่ากลัวกว่าผีอีก เวลามันหลอกคุณมันน่ากลัวกว่า มันถึงได้เริ่มมีชู้มีอะไรกัน ตอนมึงแต่งงานกันก็ไม่ดูแลกันดีๆ แต่พอผัวมึงหายไป จะมาโวยกับผีว่าเอาผัวมึงไป สำหรับกิ๊บซี่ก็ฟ้าประทานเหมือนกัน ประหลาดมากมาได้ยังไงก็ไม่รู้ เราไม่รู้จักเขาด้วยนะ เพราะเราไม่รู้จักวง Girly Berry ตอนเห็นเขาในเทปแคสติ้งเรานึกว่าเขาเป็นนักเรียนด้วยซ้ำไป ตัวเล็ก หน้าเด็กๆ แต่เขาไม่ได้เหมาะกับบทเลย ไม่ได้เข้ากับบทเลย อย่างน้อยก็บทแรกที่เขียน ไม่ได้เป็นคนแบบนี้เลย อายุก็ไม่ใช่เท่านี้ แต่พอเห็นปั๊บเราแม่งเปลี่ยนบทให้เลย เราแก้หมดเลย คนอะไรวะ กูนั่งดูไปได้เรื่อยๆ 2 ชั่วโมงยังดูได้ ไม่ต้องพูดอะไรก็ได้ หน้าตาเขามันเหมือนคน guilty แอบไปทำอะไรผิดแล้วไม่บอกเรา นักแสดงแบบนี้มันน่าดูไง คืออยู่ในหนังได้ เราก็เลยไปแก้บทให้มันฟิตกับเขา คือ นางไม้ เป็นหนังที่ประหลาด คือออกมามันก็ไม่ป็อปปูลาร์เอาซะเลย คนก็แทบจะลืมมันได้ง่ายๆ เลย แต่เราชอบมันนะ มันมีอะไรดีๆ หลายอย่าง แต่คล้ายกับว่ามันเป็นหนังที่ไม่มีอิมแพค มันก็เลยจะเป็นหนังที่ถูกลืมได้ง่ายๆ เหมือนกันของเรา มันไม่เปรี้ยง แต่คล้ายๆ กับว่าอึนๆ ไปเรื่อยๆ จนจบ แล้วเรื่องมันก็แปลกที่คนๆ หนึ่งจะไปยืนเอากับต้นไม้ คนมันงงว่าหนังเรื่องนั้นแม่งทำเหี้ยอะไร


เรื่อง "ฝนตกขึ้นฟ้า" ทำไมถึงกลับมาทำหนังจากนิยายอีกรอบ ตอนที่ นางไม้ เสร็จ เราคิดว่าเราจะหยุดทำหนังแล้วนะ หยุดนี่คือเลิกก็ได้หรือเบรกก็ได้ ยังบอกเพื่อนฝรั่งเลย สงสัยจะเบรกยาว เพราะว่าเพื่อนที่ฝรั่งเศส เขาเป็นคนจัดจำหน่ายหนังเราในฝรั่งเศสทุกเรื่องไง เขาก็ถามว่ามีโปรเจกต์อะไรต่อ ตอนนั้น นางไม้ ไปเมืองคานส์ ก็เลยเจอกันที่คานส์ เราก็ตอบว่าไม่มี กูว่าพักยาว โปรเจกต์ต่อไปคือสร้างบ้านที่เชียงใหม่ พอเขาเห็นโปรเจกต์ ฝนตกขึ้นฟ้า นี้ออกมาเขาก็ถามว่า อ้าวไหน สร้างบ้านเสร็จแล้วเหรอ เพราะมันเป็นบท เป็นทรีตเมนต์เขียนเอาไว้สั้นๆ 20 หน้า

แล้วบังเอิญ โปรดิวเซอร์เราเขาไปชิงโชคโครงการไทยเข้มแข็ง แต่เราไม่คิดว่าจะได้ทำนะ บางทีเราชิงโชคไม่เคยได้หรอก เขาก็เอาบทไป ปรากฏว่ารัฐบาลในตอนนั้นให้เงินมา 8 ล้าน แล้วก็ประกาศในเว็บไซต์ของกระทรวงวัฒนธรรมว่าโปรเจกต์ไหนได้เงินอะไรบ้าง แล้วมันก็มีโปรเจกต์เรา แล้วเพื่อนเราฝรั่งเศสคนนี้ไปเห็นในเว็บไซต์เข้า เขาก็เลยบอกว่าสร้างบ้านเสร็จแล้วเหรอ ไหนบอกจะพักยาว เราก็เลยบอกว่ามันเป็นหนังเกี่ยวกับฟิล์มนัวร์ เขาก็เลยบอก ส่งบทให้เขาดูหน่อยได้ไหม เราก็เลยแปลบทภาษาอังกฤษส่งไป เขาอ่านแล้วเขาก็บอกว่าเขาจะลงทุนด้วย เงินก็เลยค่อยๆ ได้เข้ามา แล้วในที่สุดก็ได้ทำ วันที่ นางไม้ เสร็จ ไปเมืองคานส์ กลับมาเมืองไทย หนังเข้าโรงเรียบร้อยปั๊บ พอบอกตัวเองว่าจะไม่ต้องทำหนังอีกแล้ว แม่งโคตรมีความสุขเลย กูไม่ต้องทำแล้ว กูไม่ต้องมีไอเดียอีกต่อไปแล้ว กูไม่ต้องครีเอทีฟแล้ว ตื่นเข้านอนในแต่ละวันได้โดยไม่ต้องมีไอเดียแจ๋วเจ๋ง


สรุป ต้องทำ ฝนตกขึ้นฟ้า แต่เชื่อไหม พอวันที่ไฟเขียวแล้ว เงินครบแล้ว เริ่มประชุมกับทีมงาน เชื่อไหม แม่งมีความสุขยิ่งขึ้นไปอีก กลายเป็นว่า ไอ้เหี้ย ตกลงมึงก็ชอบทำหนังไง มึงจะปฏิเสธตัวเองทำไม มึงจะไปหลอกตัวเองทำไมว่าอยากมีชีวิตธรรมดา มึงไม่ได้เป็นคนอยากไปห้าง มึงเป็นคนอยากทำหนัง คือตอนไม่คิดว่าจะทำหนังแล้วแม่งมีความสุขมาก แต่พอต้องกลับมาทำหนัง ในที่สุดแล้วมึงอย่าปฏิเสธตัวเองเลย จริงๆ แล้วมึงเสพติดการทำหนัง

ฝนตกขึ้นฟ้า (2011)

แล้วตอนอ่านนิยายเป็นยังไงบ้าง ชอบซีนแรกซีนเดียว ซีนเปิด ซึ่งในหนังซีนเปิดก็คือซีนเปิดในหนังสือ ก็อปเลย ไม่เปลี่ยนเลย ที่เหลือก็ไปตามเรา ที่เหลือก็เปลี่ยนเละเทะจนคุณวินทร์ (เลียววาริณ) แทบจะทำไม่ได้ ตอนจบแบบ ตอนพี่วินทร์มาดูหนัง แกออกมาแล้วมาเจอเรา แกบอกว่าจบแบบเป็นเอกก็ดีเหมือนกันนะ เราก็บอกว่า แปลว่าอะไรพี่ ก็ผมจบแบบในหนังสือของพี่ เขาก็บอกว่า ผมเป็นคนเขียนหนังสือ ผมไม่ได้จบแบบนี้ เราก็เถียงว่า จบแบบนี้พี่ ผมทำตามตอนฉากเปิดกับฉากปิดตามหนังสือพี่เลย พี่วินทร์แกบอกว่า เป็นเอกอย่าเถียงสิ ผมเป็นคนเขียนหนังสือ (หัวเราะ)


แอบหวั่นใจว่าจะเกิดขึ้นกับไส้เดือนตาบอดในเขาวงกตด้วย เกิดแน่ๆ บอกแหม่ม (วีรพร นิติประภา) ไปแล้วด้วย บอกแหม่มเตรียมตัวผิดหวังเลยนะ ยิ่งของแหม่มนี่อาการหนักเลย ทำตามหนังสือไม่ได้เด็ดขาดเลย เพราะหนังสือเขาเรื่องแม่งโคตรน้อยเลย ความเจ๋งของไส้เดือนตาบอดในเขาวงกตแม่งคือสกิลในการใช้ภาษาล้วนๆ เลย ถอดตรงนั้นออกไป กูแม่งแบ๊ะๆ เลย แต่เขารู้แล้วว่าแต่งเรื่องใหม่ ตัวละครใหม่

ประชาธิป'ไทย (2013)

หมดจากฝนตกขึ้นฟ้าก็คือ ประชาธิป′ ไทย ก็ไม่มีอะไร ในสังคมตอนนั้นมันแตกแยกมาก เพื่อนเราไอ้นี่เป็นเสื้อแดง ไอ้นี่เป็นเสื้อเหลือง เสื้อเหลืองเกลียดเสื้อแดง เสื้อแดงเกลียดเสื้อเหลือง มันเป็นอยู่อย่างนี้ แล้วเราไม่รู้เรื่องการเมืองเลย เราเป็นคนไม่ได้สนใจเรื่องการเมือง แล้วที่สำคัญคือ ทำไมเราเลือกสีไม่ได้อยู่คนเดียวคนอื่นเขาเลือกสีได้หมดแล้ว ที่เลือกไม่ได้เพราะเราไม่รู้ไง ไม่รู้ดีพอเรื่องนี้ที่จะเลือกได้ พอดี เอก ภาสกร (ประมูลวงศ์) เขาชวนไปทำทีวีเป็นเรื่องประชาธิปไตย 10 ตอน เขาถามว่าพี่ลองดูไหม ก็เลยเข้าทางเลย เราอยากทำเรื่องนี้เพราะเราอยากรู้จริงๆ เราอยาก educate ตัวเองมากกว่า พอทำแล้วคิดว่าตัดสินใจถูกมากที่ทำ เราแม่งตาสว่างเลย อ๋อ แม่งไม่ได้เป็นอย่างที่กูคิดเลยแต่ละเรื่องในสังคมนี้ โดนเซนเซอร์ไปไม่รู้เท่าไหร่ แต่ว่าดี ตอนเข้าโรงฉาย โรงหนังห้ามเราโปรโมต ห้ามเราให้สัมภาษณ์ ห้ามทุกอย่างหมด เชื่อไหม คนแม่งเต็มถึงแถวหน้าทุกรอบ เราทำหนังมา 10 กว่าปี ถึงเรื่องนั้น ไม่เคยมีคนดูขนาดนี้ แล้วมันปากต่อปาก กระพือมากตอนนั้น แล้วสังคมออนไลน์แม่งทำงานให้เราแบบเห็นชัดเจนมาก นี่ก็เป็นสารคดีเรื่องแรกในชีวิตครับ


จะมีภาคสองไหม ไม่เชิงเป็นภาคสอง แต่เป็นฉบับสมบูรณ์มากกว่า มันเป็นภาคแรกที่บวกเรื่องไม่ได้พูดเข้าไป ทนายมาดูแล้วไม่น่าจะฉายได้ แต่เราไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์ใครนะ ไอ้เรื่องที่พูดไม่ใช่ปัญหาหรอก แต่ว่าปัญหาก็คือมันมีบุคคลต้องห้ามอยู่ในหนัง


bottom of page