ในยุคที่มีบาร์โฮสต์ใหม่เปิดทั่วทุกมุมเมือง แต่คุณวิหาร อึ้งบุญส่ง ผู้ก่อตั้งสมาคม “ไทยรับ” สมาคมเพื่อช่วยเหลือและให้คำปรึกษาคนรุ่นใหม่ที่เป็นรับ เล็งเห็นว่ายังไม่มีบาร์โฮสต์ใดเลย ที่ขับเน้นคอนเซ็ปต์ประชาธิปไตย หลังจากปิดกิจการ “บาร์รับ” ที่ถนนข้าวสารไปแล้ว เขาจึงผุดไอเดียเปิดบาร์โฮสต์แนวใหม่ย่านเจริญกรุงในชื่อ “โอบรับบาร์” เพื่อเป็นพื้นที่จำลองประสบการณ์การโดนกดทับทางชนชั้น
สัมภาษณ์: ฝนสวย แก้วสว่างดี
“เราอยู่ในสังคมชายเป็นใหญ่" คุณวิหารเริ่มเล่าที่มาของบาร์ "แต่พี่เป็น LGBTQIA2S+ และเป็นรับ ซึ่งคนที่เป็นรับมักโดนผู้ชายกดทับเสมอ บางทีชนชั้นกลางหรือชนชั้นอีลิต ไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกของการโดนกดทับ โอบรับบาร์ จึงเป็น physical space ให้พวกเขาได้สัมผัสประสบการณ์การโดนกดทับ เพื่อสร้างความเข้าใจมุมมองที่แตกต่างของกันและกัน โอบรับกันได้อย่างไร้ขอบจำกัด เพื่อได้เห็นความเป็นคนของกันและกัน ”
"โอบรับบาร์ " จึงเป็นสเปซที่โอบรับทุกความหลากหลายตามชื่อ เป็นพื้นที่ๆ แม้จะต่างชนชั้น ต่างความคิดเห็น ต่างสถาบันการศึกษา หรือมีปูมหลังที่ต่างกัน ก็สามารถมาทดลองกดทับกันได้อย่างไม่เหลื่อมล้ำ โดยมีพนักงานเอนเตอร์เทนที่มาจากหลากชนชั้นคอยให้บริการลูกค้าหัวใจประชาธิปไตย
“พี่รักประชาธิปไตย และพี่ต้องการสร้างความเปลี่ยนแปลง ทุกอย่างในบาร์นี้จึงต้องเป็นประชาธิปไตย แม้แต่เพลงที่เปิดในร้าน ทุกครั้งที่ดีเจจะเปิดเพลงต่อไป ต้องทำการโหวตเสียงคนในร้านก่อน ว่าเสียงส่วนใหญ่อยากฟังเพลงนั้นหรือไม่ ส่วนเครื่องดื่มในร้านจะไม่มีเบียร์นายทุนเลย เราจำหน่ายแต่คราฟต์เบียร์และสุราชุมชน ซึ่งกำไรจากการขายพี่จะนำบริจาคให้สมาคมไทยรับของพี่ เพื่อนำไปช่วยเหลือและคนเป็นรับที่ด้อยโอกาส”
บาร์โฮสต์ที่น้องๆ จากทุกชนชั้นในสังคม คอยเทคแคร์พี่ๆ ที่รักประชาธิปไตย
โอบรับบาร์มีสี่ชั้น ชั้นล่างเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวใส่กัญชาเสรี มีชั้นหนังสือการเมืองการปกครองที่ลูกค้าสามารถหยิบไปอ่านเล่นระหว่างทานก๋วยเตี๋ยวได้
แต่หัวใจของบาร์โฮสต์แห่งนี้อยู่ที่ชั้นสอง ซึ่งเป็นทั้งบาร์โฮสต์และพื้นที่เสวนา ลูกค้าสามารถชวนพนักงานเอนเตอร์เทนไปเสวนาที่โต๊ะของตัวเองได้ ซึ่งพนักงานเอนเตอร์เทนของร้านมีมาจากหลากชนชั้นให้เลือกชวนไปเสวนา ไม่ว่าจะเป็น ลูกชาวไร่ชาวสวน นักศึกษา ข้าราชการ แรงงานต่างด้าว คนชายขอบ หรือหนุ่มไฮโซผู้ต้องการเข้าใจความหลากหลายในสังคม ซึ่งคุณวิหารได้เทสต์ทุกคนด้วยตัวเองแล้ว ว่าล้วนเป็นคนหนุ่มที่มีอุดมการณ์ประชาธิปไตย นอกจากนี้ ทางบาร์ยังมีการมีการจัดฉายหนังอาร์ตเพื่อสร้างบรรยากาศระหว่างการเสวนาด้วย
ชั้นสามและชั้นสี่ค่อนข้างสลัว เพราะออกแบบให้เป็นพื้นที่เสวนาการเมืองแบบส่วนตัว ชั้นนี้ซอยเป็นห้องแคบๆ หลายห้อง มีทางเดินตรงกลาง โดยมีพื้นที่มีสองประเภทให้เลือก คือพื้นที่ห้องพัดลมราคาอยู่ที่ 150 บาท/ชั่วโมง และพื้นที่ติดแอร์ราคาอยู่ที่ 250 บาท/ชั่วโมง
ส่วนชั้นสี่เป็นพื้นที่ใหญ่สุดและพิเศษสุด ชื่อว่า Echo Chamber ซึ่งตกแต่งเหมือนคุกใต้ดิน กรุผนังด้วยวัสดุสร้างเสียงสะท้อนสำหรับคนที่ชอบใช้เสียง แนวคิดในการออกแบบชั้นนี้ คือการสื่อกสารถึงสิทธิในการส่งเสียงแสดงความคิดเห็น ในห้องมีแซ่และโซ่ตรวนบริการ เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสถึงภาวะไร้อิสรภาพและการโดนกดขี่ พื้นที่นี้ราคาชั่วโมงละ 500 บาท และใช้บริการได้ครั้งและไม่เกิน 8 คน เหมาะกับการเสวนากลุ่มย่อย
คอนเซ็ปต์ความหลากหลายของบาร์โอบรับ ยังรวมไปถึงราคาเครื่องดื่มในร้าน ที่มีราคาหลากหลาย ตั้งแต่ 160, 175, 220, 240, 265, 320, 340 ไปจนถึง 420 บาท แต่สำหรับผู้มีรายได้น้อยที่ไม่ต้องการซื้ออะไร ทางบาร์ก็ยินดีต้อนรับ สามารถยืมหนังสือการเมืองของร้านไปนั่งอ่านชิลล์ๆ ได้ โดยทางบาร์จัดที่นั่งอ่านหนังสือไว้ให้นอกร้านด้านหลัง และมีบริการยาฉีดกันยุงและหน้ากากอนามัยฟรี เพื่อป้องกันยุงและกลิ่นจากกองขยะ
"สิ่งที่พี่ทำ พี่ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง หรือเพื่อชื่อเสียงเงินทอง แต่พี่ทำเพราะพี่อยากเห็นความเปลี่ยนแปลงในสังคมไทย และพี่ก็อยากผลักดันให้บาร์โฮสต์ของไทยเป็น soft power ดังนั้น พนักงานเอนเตอร์เทนของที่นี่ทุกคนจึงใส่กางเกงช้างเพื่อส่งเสริมเอกลักษณ์ความเป็นไทย” คุณวิหารกล่าวทิ้งท้าย "และที่สำคัญที่สุดคือ พี่เชื่อเรื่องความเท่าเทียม มนุษย์เราไม่ว่าจะชนชั้นไหน ถ้าถอดเสื้อผ้าออกหมดก็คนเท่ากัน"
Comments