ศุกร์หน้า Dudesweet ปิด Whiteline เหมาตึก เพราะจะจัดปาร์ตี้ธีม 90s รวมเพลงทุกแนวที่พอจะนึกออกในยุคนั้น ***ปีนี้มีห้องเพลงไทยด้วย*** ใครอยากฟังแนวไหนก็ให้วิ่งขึ้นวิ่งลง เข้าให้ถูกห้อง แล้วก็จะได้เจอดีเจเหล่านี้
สิ่งแรกที่คุณจะได้เจอเมื่อเดินเข้างานคือชั้นเรียน drawing ของ โอ๊ต มณเฑียร ศิลปินนู้ด ที่นายแบบชายและหญิงจะยืนเปลือยให้ผู้ที่สนใจอยากเขียนหุ่นเปลือยได้มาฝึกมือกับโอ๊ต โดยแบบจะเปลี่ยนท่าทุก 15 นาที สำหรับคนที่สนใจอยากลองวาดหุ่นเปลือย ต้องรบกวนแจ้งชื่อและเบอร์โทรให้เราหลังไมค์ล่วงหน้า Facebook หรือ Instagram ของ Dudesweet เพื่อที่เราจะได้เตรียมอุปกรณ์ไว้ให้คุณ facebook.com/DudesweetWorld Instagram.com/DudesweetWorld
ตุล ไวฑูรเกียรติ / อพาร์ตเมนต์คุณป้า
TW: คุณเปิดเพลงอยู่ชั้นไหน เป็นเพลงอะไร
ตุล: ชั้น 2 เปิดเพลงร็อกเเก่ๆ
TW: เพลงที่คุณชอบเปิดที่สุด เพราะอะไร
ตุล: ชอบเปิด Oasis - Champaign Supernova ไล่เเขก มันเป็นเพลงส่งคนกลับบ้านที่ให้ความรู้สึกงงๆ เเต่โรเเมนติก
TW: บรรยากาศดนตรียุคนั้นกับยุคนี้ต่างกันยังไงบ้าง
ตุล: ยุคนั้นวัยรุ่นเรื้อนกว่ายุคนี้ การไปปาร์ตี้คือต้องเยิน ต้องเมา ต้องเละ เเละการอ้วกเป็นเรื่องปกติ ยุค 90s เด็กฟังเพลงจังหวะหนักกว่าคนเเก่ ยุค 2020 คนเเก่ฟังเพลงจังหวะหนักกว่าเด็ก
TW: ยุค 90s มีดียังไง
ตุล: ยุค 90s มีดีเพราะเรายังรู้จักเสน่ห์ของการรอคอย ไม่มีอะไรได้มารวดเร็วดั่งใจ เราจึงจำทุกโมเมนต์ได้นาน
พิชญ์ วิซ / DJ Pichy
TW: คุณเปิดเพลงอยู่ชั้นไหน เป็นเพลงอะไร
พิชญ์: ชั้น 1 เปิด Hiphop, R&B ค่ะ
TW: เพลงที่คุณชอบเปิดที่สุด เพราะอะไร
พิชญ์: Eric B & Rakim - Paid In Full เป็นเพลงประจำตัวพิชญ์เลยค่ะ เล่นทุกครั้ง เล่นเป็นประจำทุกปาร์ตี้ ไม่เคยเบื่อเลย (หัวเราะ) ที่จริงแล้ว Album นี้ออกมาในปี 1987 ภายใต้ชื่ออัลบัม Paid In Full แต่พิชญ์มารู้จักและซื้อเทปของ Eric B & Rakim ในช่วงที่พิชญ์กำลังอินกับเพลง Rap/Hiphop ในปี 1994 ค่ะ
ตอนเด็กๆ ชอบเพลงนี้เพราะบีตก่อนเลย ยังฟังไม่ค่อยออกว่าเขาร้องว่าอะไร เพียงแต่ชอบมากๆ แล้วรู้สึกว่าเพลงนี้โคตรเจ๋งเลย พอเริ่มโตมา ถึงจะเข้าใจในภาษาเขา (ภาษา Rap ภาษา Rhymes) เพลงนี้ถือว่าเป็น Masterpiece ของเพลงที่อยู่ในหมวดหมู่ Rap/Hiphop ตลอดกาลและตลอดไปค่ะ :)
TW: บรรยากาศดนตรียุคนั้นกับยุคนี้ต่างกันยังไงบ้าง
พิชญ์: ถามว่าต่างไหม พิชญ์ว่าจริงๆ ทุกยุคมันก็มีเสน่ห์ในตัวของมันนะคะ ดนตรีมันคือการขับเคลื่อนวัฒนธรรมของแต่ละยุคด้วย ถ้าให้ยกตัวอย่างง่ายๆ ตอนเด็กๆ ที่พิชญ์เริ่มอินกับเพลง Rap/Hiphop เราก็เริ่มอยากจะแต่งตัวเหมือนศิลปินนั้นๆ ละ อย่างยุค Kriss Kross ใส่กางเกงกลับด้าน เราเองก็ใส่ตามเขา พอมายุค Spice Girls เฟื่องฟู เราก็อยากจะเป็น Mel C (Sporty Spice) พอมาถึงยุคทาทาเฟื่องฟู เราก็อยากจะใส่รองเท้า Chippy หนังแก้วเหมือนทาทา พอมายุคโบ-จอยส์ ปี 1999 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของยุค 90 ละ เราก็อยากใส่สายเดี่ยวเกาะอก แล้วก็ร้องเท้า Swear เหมือนโบ-จอยส์ ไปเดินสยามอะไรแบบนี้อะค่ะ (หัวเราะ)
ส่วนถ้าจะให้พูดถึงเรื่องบรรยากาศเพลง ทั้งในคลับ ทั้งคอนเสิร์ต ตอนไปคลับ (ซึ่งแต่ก่อนเรียกผับกัน) ไปคอนเสิร์ตสมัยวัยรุ่น คุณพ่อกับคุณแม่ก็พาไปแหละค่ะ บังเอิญที่บ้านคุณพ่อ คุณแม่ ของพิชเอง เขาก็ชอบดริ้งค์ ชอบเที่ยวไปฟังดนตรีตามที่ต่างๆ มันก็เลยทำให้เราได้ซึมซับกับการได้ออกไปนั่งฟังเพลงเป็นประจำกับคุณพ่อ คุณแม่ ตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ซึ่งสมัยนั้นมันดีตรงที่มันไม่มี Smart Phone มั้ง เราไปที่ไหน เราก็ได้จดจ่อ มีสมาธิกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า อินกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าจริงๆ ซึ่งถามว่าสมัยนี้มี Smart Phone แล้วดีไหม ก็ต้องตอบว่าดี ดีมากด้วย ทุกอย่างมันสะดวก มันง่าย มันเข้าถึงอะไรได้ง่ายไปหมด แต่ไอ้ความที่ง่าย มันก็คือง่าย ซึ่งบางทีมันก็ขาดเสน่ห์อะไรบางอย่างไป
TW: ยุค 90s มีดียังไง
พิชญ์: จริงๆ วีดีโอโปรโมทที่ Dudesweet ทำ มันก็อธิบายอยู่ในตัวแล้ว ว่ามันมีดียังไง (หัวเราะ) ถ้าให้ลิสต์แบบง่ายๆ สั้นๆ ว่ายุค 90s มีดียังไง สำหรับพิชญ์ก็
มี Tower Records ให้ไปยืนฟังเพลงหลังเลิกเรียน
มีเพลงเพราะมากๆ ทั้งไทยและสากล
มี ลาน Ice-skate / World Trade ชั้น 7
มีแดนเนรมิต สวนสนุกใจกลางเมือง
มีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยี่ห้อเมียวโจ้ ซึ่งมันอร่อยมาก
สั้นๆ เท่านี้แหละค่ะที่นึกออก :)
วิสกี้—วชิรปาณี มากดี aka DJ คุณน้า
TW: คุณเปิดเพลงอยู่ชั้นไหน เป็นเพลงอะไร
วิสกี้: เปิดอยู่บาร์เกย์ลับๆ ที่ชั้น 3 เน้นเพลงเต้นรำกะเทยๆ เชยๆ ยุค 80s-90s
TW: เพลงที่คุณชอบเปิดที่สุด เพราะอะไร
วิสกี้: เพลง All Around The World ของ Lisa Stansfield เพราะไม่มีคนรู้จัก และไม่มีใครเปิดแล้ว อยากเปิดเต้นเอง
TW: บรรยากาศดนตรียุคนั้นกับยุคนี้ต่างกันยังไงบ้าง
วิสกี้: เพลงเต้นยุคก่อนมีเมโลดี้วาดมือวาดไม้ ส่ายสะโพกโยกไหล่จัดระเบียบร่างกายสวยๆ ได้ เต้นแล้วรู้สึกสวย เดี๋ยวนี้มีแต่บีตย่ำๆ เต้นละไม่สวย
TW: ยุค 90s มีดียังไง
วิสกี้: ยุค 90s สูบบุหรี่ในบาร์ได้ สูบบุหรี่ไปเต้นไป หมั่นไส้ใครก็เขี่ยบุหรี่ใส่หัวมัน
เอี่ยว—ชาครีย์ ยุทธารักษ์-บุณยรัตพันธุ์ / DJYP, Trasher Bangkok
TW: คุณเปิดเพลงอยู่ชั้นไหน เป็นเพลงอะไร
เอี่ยว: ชั้น 3 โซนเพลงไทย และเป็นเพลงไทยยุค 90s ที่วางแผงก่อนวันที่ 31 ธันวาคม 1999 (2542) ครับผม
TW: เพลงที่คุณชอบเปิดที่สุด เพราะอะไร
เอี่ยว: 'เปล่าหรอกนะ' โดย แอม—เสาวลักษณ์ ลีละบุตร จากอัลบั้ม 'งานซนคนดนตรี นานที 10 ปีหน' ปี 2536 (1993) เวอร์ชันแรกขับร้องโดยคริสติน่า อากีล่าร์ ในปี 2533 อัลบั้ม 'นินจา' ครับ ส่วนตัวคิดว่านี่คือเพลงที่ remixed/rearranged ได้เยี่ยมที่สุด จากเพลงป๊อปบัลลาดกลายมาเป็นฟิวชั่นแจ๊สแบบ 'ทำถึง' และเอาเข้าจริงแทบไม่มีคนไทยทำดนตรีแบบนี้อีกแล้ว
TW: บรรยากาศดนตรียุคนั้นกับยุคนี้ต่างกันยังไงบ้าง
เอี่ยว: เอาเข้าจริงต่างกันไม่มากและเปิดกว้างพอๆ กัน สมัยนั้นมีฮิปฮอป สมัยนี้ก็มี สมัยนี้มี EDM สมัยก่อนเรามี rave นะเว้ย อย่างเอา อันนี้คิดว่าความแตกต่างมันอยู่ที่คนฟังและเทรนด์มากกว่าน่ะครับ
เรื่องที่รู้สึกว่าแตกต่างจริงๆ คือคนยุคเราเล่น mosh pit หรือ wall of death ในเพลงร็อก แต่สมัยนี้กลับกลายเป็นเล่นกันในเทศกาลดนตรี EDM ดูแล้วก็รู้สึกว่าเออ เราแม่งแก่แล้วจริงๆ นั่นแหละ
TW: ยุค 90s มีดียังไง
เอี่ยว: เราถือว่าเราโชคดีที่อยู่ในยุคเปลี่ยนผ่านจากอนาล็อกเป็นดิจิทัล ฉะนั้นเราเลยไม่ค่อยช็อกกับความเปลี่ยนแปลงเหมือนรุ่นใหญ่ที่มองข้ามมาในยุคนี้ หรือรุ่นน้องที่มองกลับไปยังยุคนั้น เราขวนขวายและมีความสุขกับการได้อ่านปกเทปหรือหาเนื้อร้องจากแม็กกาซีน เราแลกเทปใต้ดินกันฟังทุกสัปดาห์ และสิ่งที่ชอบที่สุดคือการไปต่อคิวซื้อบัตรคอนเสิร์ต จะวงไหนก็ได้ รับประกันว่าคุณจะได้เจอคนพันธุ์เดียวกันตัวเป็นๆ
ผมไม่ได้บอกว่ายุคนี้ไม่ขวนขวายนะครับ ยุคนี้ง่ายกว่าเสียด้วยซ้ำ ดีซะอีก ผมชอบเลยแหละ แต่สิ่งที่ยุค 90s ดีกว่ายุคนี้แน่ๆ คืออย่างน้อยเราก็ยังได้โตมาในยุคที่คนเที่ยวตั้งแต่ทุ่มครึ่ง และร้านเลิกตีห้าหกโมงเช้าอย่างถูกกฎหมายนะครับ อ้วกเสร็จออกมาใส่บาตรก่อนเข้าบ้าน เก๋จะตาย (หัวเราะ)
เอม—ธิติพันธุ์ อนะวัชพงษ์ / SLUR / DJ GAYAIMS
TW: คุณเปิดเพลงอยู่ชั้นไหน เป็นเพลงอะไร
เอม: ชั้น 2 เปิดเพลง Rape Me ของ Nirvana คิดถึงกรันจ์ คิดถึงกีตาร์เสียงแตก
TW: เพลงที่คุณชอบเปิดที่สุด เพราะอะไร
เอม: Suede - Beautiful Ones เพราะคือเพลงชาติแห่งประเทศ Dudesweet
TW: บรรยากาศดนตรียุคนั้นกับยุคนี้ต่างกันยังไงบ้าง
เอม: สมัยนั้นเรารู้จักศิลปินผ่านอัลบั้มและบทสัมภาษณ์ สมัยนี้เรารู้จักศิลปินผ่านยอดวิว YouTube และ Facebook Algorithm
TW: ยุค 90s มีดียังไง
เอม: เวลาไปดูคอนเสิร์ต ไม่ต้องกลัวคนข้างหน้าเอามือถือขึ้นมาบัง
DR. POPLIGHT / ศิลปิน / หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Dudesweet
TW: คุณเปิดเพลงอยู่ชั้นไหน เป็นเพลงอะไร
ป๊อปไลท์: ชั้น 4 ครับ เปิดเพลงเร้กเก้ ฮิปปี้ ชาวเกาะต่างๆ ชั้นนี้ผมให้คนนั่งเสื่อ นั่งพื้น ทำตัวติดดิน
TW: เพลงที่คุณชอบเปิดที่สุด เพราะอะไร
ป๊อปไลท์: ถ้าเพลงเร็กเก้ก็มีฟังแต่บ๊อบ มาเลย์นั่นล่ะ ไม่ค่อยอิน มันไม่มัน แต่สมัยนั้นก็มีรู้จักแค่นั้นล่ะ เพราะไม่ค่อยมีสื่อไรมาก แล้วที่ตอน 90s มันฮิตคงเพราะมันดูดปุ๊นแล้วฟังไรงี้ เร้กเก้นี่ส่วนใหญ่เป็นเด็กใต้จะชอบ แต่เพลงที่ชอบเปิดที่สุดคือ Nirvana ซึ่งเป็นการฟังเพลงฝรั่งวงแรกเพราะเพื่อนให้ฟังซาวเบาท์ เพลง Smells Like Teen Spirit แปลกดี ทึ่ง ชอบมาก
TW: ยุค 90s มีดียังไง ป๊อปไลท์: ยุค 90 มีเทปผีราคาถูก ตลับละ30บาท ไม่มีสื่อต่างๆมากมาย
เอ้อ งานนี้เขาห้ามเอามือถือและกล้องดิจิทัลเข้า (แต่เอากล้องฟิล์มเข้าได้ นับเป็นนวัตกรรมยุคอนาล็อก) เราก็มีบริการรับฝากมือถือด้านหน้า จะได้สนุกกับปาร์ตี้ของเราได้เต็มอรรถรส ถ้าใครงงระบบการจัดการในส่วนนี้ ขอเชิญคุณนกมาอธิบาย
นก: "ถ้าใครซื้อบัตรมาแล้ว เราจะมีริสต์แบนด์ที่มีหมายเลขระบุอยู่บนนั้น หมายเลขอันนั้น จะเป็นเบอร์เดียวกับที่ใช้ฝากโทรศัพท์ ซึ่งเราจะคืนให้แค่ครั้งเดียวตอนจบงาน แปลว่า ถ้าใครทนไม่ไหว อยากจะขอดูโทรศัพท์ก่อนเวลา เราจะคิดค่าบริการหยิบให้ครั้งละ 40 บาท ถ้าทนไม่ไหวอยากดูอีก ก็ต้องเสียอีก อ้อ เราไม่มีบริการรับฝากกระเป๋านะคะ รับฝากแค่มือถืออย่างเดียว"
ทราบรายละเอียดแล้วก็สบายใจได้ ไม่ต้องกลัวหาย คิดซะว่าเป็นการฝึกความจิตแข็ง digital detox ไปในตัวด้วยเลย ฮิฮิ
Comments