top of page
  • Black Facebook Icon
  • Instagram

Welcome to the world where truth doesn't hurt

เป็นผู้ชายต้องบวช ต้องรับราชการ แต่ทำไม่ได้ เลยเอาความคาดหวังมาทำเสื้อผ้า

อ๊ตจบแฟชั่นปีศิลปากร เขามากับผลงาน thesis น่าสนใจ ที่ไม่ใช่แค่ดีไซน์แปลกตา แต่โอ๊ตบอกว่านี่คือการเลือกทดแทนบุญคุณพ่อแม่ผ่านการทำเสื้อผ้า


สัมภาษณ์: มนต์ทิพา วิโรจน์พันธุ์ @iarbuckle

 

TW: คิดว่าอะไรคือความยากในการทำแฟชั่นตอนนี้

โอ๊ต: การทำอะไรให้มันแตกต่าง ในยุคที่ตอนนี้แฟชันมันไม่ได้ชัดแบบ 20s Gatsby หรือ 70s hippie , punk ไม่ใช่แบบนั้นแล้ว ตอนนี้มันเป็นเรื่อง styling อยากใส่อะไรก็ใส่ อยากเอารองเท้าบูธฮิปปี้มาใส่กับสตรีท oversize ก็ได้ แล้วเราจะแสดงจุดยืนให้ชัดและแตกต่างให้คนรู้ว่านี่คือเรา จะทำยังไง อันนี้อะยาก


TW: แล้วคิดว่าตอนนี้เทรนด์คืออะไร

โอ๊ต: ยุคนี้ความเชยคือเสน่ห์ bad taste คือเสน่ห์ คนไม่ได้แคร์แล้วว่าจะเป็นยังไง แฟชั่นแปลว่ากระแสนิยม แต่ตอนนี้คนแต่งตัวกันหลากหลายมาก ต่อให้เป็นเด็กแฟชันในรุ่นโอ๊ตหรือมหาลัยอื่นๆ ที่โอ๊ตรู้จัก เขาก็แต่งตัวต่างกันแล้ว เราเลยรู้สึกว่ามันน้อยลงแล้วแหละคนที่ตามเทรนด์อะ แต่ว่ามันก็ยังมีความอิงๆ อยู่นิดนึง อาจจะไม่ 100% แบบเมื่อก่อน


เอาจริงที่บอกว่าเสื้อทำขายแมสๆ ของโอ๊ตก็เหมือน copy and paste ตามเทรนด์อยู่นิดนึง ซึ่งมันก็ไม่ค่อยใช่ตัวเอง เลยอยากกลับมาเป็นตัวเอง เพราะการที่เราตามเทรนด์มันเหมือนไม่ได้สร้างอะไรใหม่เลย ความ unique มันก็ยังจำเป็น ไม่งั้นคนก็เหมือนกันหมด TW: ศิลปะนิพนธ์ (thesis) ที่โอ๊ตทำ

โอ๊ต: โอ๊ตมาเรียนแฟชัน เมื่อ 3-4 ปีมานี้ มันเป็นยุคที่สตรีทเฟื่องฟู ใครจะบอกว่ามันเป็นเทรนด์ก็ได้ แต่มันก็เหมือนคนเกิด 80s เขาก็อิน 80s โอ๊ตเข้ามาศึกษาช่วงนี้โอ๊ตก็อินกับอันนี้พอดี ส่วนคอนเซ็ปต์ รู้สึกว่าถ้าโอ๊ตพูดเรื่องคนอื่น จะทำได้ไม่ดีเท่าทำเรื่องตัวเอง ก็เลยเลือกเรื่อง ‘หน้าที่ลูกผู้ชาย’ ที่เกิดในครอบครัวโอ๊ตเอง พวกความคาดหวังของครอบครัวที่กลายเป็นหน้าที่ที่เราต้องทำ คือการบวช การเป็นตำรวจ และการต้องเล่นฟุตบอล


โอ๊ตเคยบวชหน้าไฟตอนเด็กๆ แล้วไม่อินจริงๆ ตอนเรียนก็เป็นเด็กห้อง gifted ตลอด เขาก็บอกให้ไปสอบตำรวจเหมือนพ่อสิ เป็นข้าราชการ ทำงานประจำ สามคือเขาพยายามให้โอ๊ตเล่นฟุตบอล โอ๊ตเล่นไม่ได้ โอ๊ตมองว่าสามอย่างนี้เป็นความคาดหวังของครอบครัว เพราะพี่ชายแท้ๆ ของโอ๊ตทั้งบวช เป็นนักกีฬาฟุตบอล แล้วก็เป็นตำรวจ เหมือนพ่อโอ๊ตหมดเลย


ความที่บ้านโอ๊ตอยู่ไกล (แก่งกระจาน เพชรบุรี) เราเลยมีความเชื่อ ความคิดแบบเดิมๆ แต่โอ๊ตไม่ได้มองว่ามันเป็นสิ่งไม่ดี หรือแอนตี้สิ่งที่เขาอยากให้ทำนะ เพราะสุดท้ายแล้วเข้าไม่ได้บังคับโอ๊ต เขาปล่อยให้เลือกเองตั้งแต่โอ๊ตมาเรียนศิลป ให้ลุยเต็มที่ ส่งโอ๊ตไปติว จะทำไรก็ทำ พอเราไม่ถูกคาดหวังแล้ว กลายเป็นว่าเรารู้สึกไม่ได้ทดแทนบุญคุณในจุดนี้ไป เราก็เลยเอามาลงกับสิ่งที่เราอินและศรัทธาจริงๆ คือแฟชัน ก็มาทำเป็นงานวิทยานิพนธ์นี้ทั้งหมดเลย ก็จะมีชุดบวช ชุดตำรวจ และชุดนักบอล ให้เขาไปเลย

แล้วโอ๊ตก็มาวิเคราะห์ต่อว่าอะไรคือค่านิยมของผู้ชายบ้าง เลยนั่งคุยกับเพื่อนผู้ชายเพื่อรีเสิร์ช จนไปเจอหลักการ protagonist คือการเป็นตัวเอก โอ๊ตคิดว่าผู้ชายทุกคนมีหลักนี้ ว่ายูต้องเป็นหัวหน้าครอบครัว ต้องดูแลลูก ดูแลเมีย หรือเวลาเขาดูการ์ตูน พวกยอดมนุษย์ 5 สี คนส่วนใหญ่ที่โอ๊ตสัมภาษณ์มาเขาจะอยากเป็นตัวสีแดง ที่เป็นหัวหน้าทีม ผู้หญิงจะเลือกตัวสีชมพู มันน้อยมากที่เขาอยากจะเลือกสีอื่น แสดงว่าผู้ชายส่วนใหญ่เขาถูกปลูกฝังมาแล้วว่าต้องเป็นผู้นำ หรือการ์ตูน Marvel ตัวเอกส่วนใหญ่ก็สีแดง มันอาจจะเป็นสีที่สื่อถึงพลัง ก็หยิบเรื่องทั้งหมดมารวมกันจนกลายเป็นยอดมนุษย์หน้าที่ลูกผู้ชาย ‘Super A Men’


คอลเล็กชันโอ๊ตล้อมาจาก X Men ที่เป็นยอดมนุษย์ A คือ อดิศร สีแดง เป็นยอดมนุษย์ตำรวจ A Men Red เพราะ power อะไรต่างๆ มักจะถูกแทนด้วยสีแดง ส่วน A Men Silver สีเงินมันคือความรู้สึกเป็นประกาย ความศักดิ์สิทธิ์ เลยให้เป็นยอดมนุษย์นักบวช หรือพระ แล้วก็ยอดมนุษย์นักบอล ให้เป็นสีเหลือง A Men Yellow อันนี้เอามาจากการ์ตูนนักเตะแข้งสายฟ้า ที่บอกว่านักเตะต้องมีความว่องไว สีเหลืองก็ดูเหมาะ


ทีนี้เราสร้างมา 3 คาแร็กเตอร์ แต่ธีสิสต้องมี 5 ลุค ลุคที่เหลือเลยสร้างเป็นตัวที่ 3 ยอดมนุษย์อันนั้นฟิวชันกัน เพราะพวกการ์ตูนขบวนการ 5 สี เวลาจะแพ้ มันจะรวมร่างกันให้แกร่งขึ้น


TW: แบบนี้จะไม่เป็นการผลิตซ้ำค่านิยมหรอ

โอ๊ต: ไอเดียตอนแรกจริงๆ แล้วจะทำชุดพระสีชมพู ตำรวจสีชมพู แต่ไปๆ มาๆ คุยกับอาจารย์ที่ปรึกษาแล้วเล่าเรื่องที่บ้านให้ฟัง อาจารย์บอกว่า จริงๆ แล้วคุณไม่ได้แอนตี้พ่อแม่นี่ คุณดูภูมิใจด้วยซ้ำ ถ้าจะทำธีสิสทำไมต้องแอนตี้ล่ะ เออ ก็จริง เราก็ภูมิใจที่พ่อเป็นตำรวจ พี่บวชให้พ่อ พ่อกับพี่เป็นนักกีฬา งั้นเรามาทำเชิดชูดีกว่า ก็ให้เป็นยอดมนุษย์ไปเลย


TW: ได้เล่าเรื่องธีสิสให้ที่บ้านฟังไหม

โอ๊ต: ไม่เล่า ขี้เกียจอธิบาย ผู้ใหญ่กับวัยเราเข้าใจกันยาก เราเล่าไปแล้วเขาจะเก็ต จะฟังไหม แต่เขาก็พยายามคุยกับเรา พยายามเข้าใจ และเข้ามาในโลกของเรา ตอนปิดโควิดโอ๊ตเอาชุดธีสิสมาทำที่บ้าน แล้วเขาก็ถามว่า ทำไมมันใหญ่จังอะ ทำไมมันหนาจัง จะใส่ที่ไหน เนี่ย เขาไม่เก็ต เราเลยจะไม่อธิบายอะไรมาก แต่จะแบบ ขอไฟล์งานบวชหน่อย ขอรูปพ่อตอนวัยรุ่นหน่อย หรือถามเขาว่าเป็นตำรวจเพราะอะไร จะเป็นการรีเสิร์ชข้อมูลมากกว่า จนเขาน่าจะมารู้จริงๆ ตอนที่รูปธีสิสโพสต์ลงไปในเพจของคณะ เขาก็แชร์เองด้วยนะ

TW: สุดท้ายแล้ว สิ่งที่โอ๊ตอยากเป็นจริงๆ คืออะไร ในเวอร์ชันที่ไม่มีใครมาใส่บทบาทหน้าที่ให้เรา

โอ๊ต: ทุกคนมีรูปแบบของตัวเองที่จะทดแทน หรือแสดงอะไรก็แล้วแต่ ไม่ต้องไปตัดสินใครว่า ต้องบวชเหมือนกันนะ ผู้ชายต้องเป็นแบบนั้นนี้นะ เดี๋ยวนี้มันสามารถเลือกเองได้แล้ว บางคนไม่ได้บวช แต่เขาเลี้ยงดูพ่อแม่ อย่างของโอ๊ตทำธีสิส ได้ A เรียนจบ ได้ปริญญามา เขาก็แฮปปี้ ใครจะทำอะไรก็ได้ ไม่ต้องไปยึดค่านิยมสังคมแบบเมื่อก่อนแล้ว


TW: ทุกปีมีเด็กจบใหม่เยอะมาก แล้วก็หางานยากขึ้นทุกวัน โอ๊ตทำยังไง

โอ๊ต: ยากจริง เพื่อนในรุ่นที่จบตอนนี้แล้วได้ไปทำงานกับแบรนด์แฟชันจริงๆ มีแบบนับคนได้ ซึ่งคนที่ยังเคว้งๆ ก็เยอะ โอ๊ตก็เป็นหนึ่งในนั้น ถ้าที่บ้านยังพอมีทุนให้ ก็พยายามหาอะไรทำ ให้โอ๊ตยังได้อยู่ตรงนี้ พยายามไปงาน exhibition ต่างๆ ยังไม่อยากทิ้ง passion ทิ้งสกิล ทิ้งความรู้ที่เรียนมา เพราะถ้าเราห่างออกไป ทุกอย่างมันก็จะหายไปเลย อย่างเพื่อนโอ๊ตหลายคนก็เริ่มเฟดแล้ว

TW: เรียนจบแล้วตั้งใจจะทำอะไรต่อ

โอ๊ต: อยากทำงานกับแบรนด์ใหญ่ๆ แต่ที่ที่ส่งพอร์ตไปก็มีแต่คนอยากได้ ก็ยาก เลยออกมาทำเสื้อผ้าแมสก่อน เป็นเสื้อยืดลาย flex ไฟๆ มีกลิตเตอร์ พอเริ่มทำแมสแล้วก็รู้สึกว่ามันไม่ได้ขายคล่องขนาดนั้นถ้าไม่มีคนช่วยดันหรือโปรโมต แล้วเพื่อนหลายคนก็บอกว่าให้ทำของตัวเองสิ ให้เป็นทางที่เราชอบจริงๆ ตอนนี้ก็เริ่มทำแล้ว ก็รู้สึกว่าแฮปปี้มากกว่าที่อันนี้ออกมา มันดูเป็นเรามากกว่าแล้วทำให้รู้ว่าจริงๆ เป็นเสื้อเชิ้ต ตัดต่อลาย บาติกเพนต์มาจากกระบี่

TW: ทำไมถึงเลือกเอาผ้ามาจากกระบี่ โอ๊ต: เราเคยเรียนบาติกคลาสนึงก็รู้สึกว่าสนุกดี แล้วอาจารย์โอ๊ตทำบาติกกับเจ้านี้ เขาก็บอกว่าทำสิ ช่วงโควิดเขาน่าจะขาดรายได้ เราได้ช่วยชาวบ้าน แล้วเอาไปขายต่อก็ได้เหมือนกัน มันก็วินวิน


ปกติชาวบ้านทำเขาจะเป็นบาติกธรรมดาสีจัดๆ พี่ อู๋—วิชระวิชญ์ อัครสันติสุข ดีไซเนอร์ที่ทำ WISHARAWISH เขาไปช่วยปรับลายเอาไว้ ให้เป็นสเกล หรือสีที่โมเดิร์นขึ้น แล้วโอ๊ตชอบสตรีท ช่วงที่ผ่านมาสตรีทมันจะอินกับลายไฟมาก ลายผ้าบาติกอันนี้ก็คล้ายลายไฟ เลยสั่งเขา เอาลายเดิม สเกลเดิม แต่ปรับให้มันเป็นขาวดำ หรือสีฟ้า แล้วก็มาตัดต่อ วางแพตเทิร์นของโอ๊ตเอง


TW: การไปปรับลาย หรือดัดแปลง จะโดนโจมตีไหม เพราะมีกรณีโขน หรือดนตรีประเภทอื่นที่โดนลดทอนลงไป ก็มีคนมองว่าไม่อนุรักษ์ของที่มีอยู่เดิม

โอ๊ต: มันก็เป็นการปรับตัว ถ้าไม่ปรับมันก็จะอยู่แค่ตรงนั้น กลุ่มเป้าหมายเดิม buyer เดิมๆ อันที่พี่อู๋ทำก็จะเป็นสายโมเดิร์น คลีนๆ ที่โอ๊ตทำก็มาตัดต่อเป็นสตรีท คนละแนว ลูกค้าก็กระจายหลายกลุ่มขึ้น รายได้ชาวบ้านก็มากขึ้น ทำให้เขาไปทำอะไรต่อได้อีกเยอะ

TW: สุดท้ายละ โอ๊ตเป็นหนึ่งในเด็กกลุ่ม All Stars ของคอนเวิร์ส ตอนที่เขาเลือกให้ไปทริปเมืองนอก คิดว่าทำไมเขาถึงเลือกเรา

โอ๊ต: นอกจากลงรูปรองเท้าบ้างแล้ว อาจจะเพราะความ unique มั้ง อ้วนแต่แต่งตัว ไม่ได้บอกว่าคนอ้วนแต่งตัวไม่ได้นะ แต่เราเป็นคนอ้วนที่กล้าแต่งอะ แล้วมันอาจจะชัดว่า อีคนนี้เป็นแบบนี้ แล้วอาจจะด้วย Instagram ส่วนตัวไม่ได้ลงแค่รูปตัวเอง แต่ลงงานทุกอย่างที่ทำ มันเป็นช่องทางที่โปรโมตและนำเสนอตัวเองได้ เขาก็อาจจะเห็นว่าคนนี้วาดรูปเป็น เรียนแฟชันมา ทำงานแนวนี้ได้นะ ส่วนบาติกที่จะทำ ตอนนั้นก็สั่งตัดเป็นสีฟ้าไปใส่ แล้วเพื่อนมาเลเซียที่ชื่อ Siri เขามา follow แล้วเขาบอกว่า ทำขายเลยสิ เขาชอบ เพราะเขาเป็นแนว sustainable fashion ด้วย ก็ฝากติดตาม Instagram ร้านด้วย ตอนนี้แมสอยู่ อีกหน่อยจะไม่แมสแล้ว

 
bottom of page