ร้านหนังสือเลขที่ 84 ถนนแชริงครอสส์
(84, Charing Cross Road) เขียนโดนเฮเลน แฮฟฟ์ แปลโดย รังสิมา ตันสกุล, ปราบดา หยุ่น สำนักพิมพ์ Bookmoby Press หนา 144 หน้า
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ยังมีคนเขียนจดหมายคุยกัน เขียนด้วยปากกาบนบนกระดาษ ใส่ซองติดสแตมป์แล้วไปหยอดตู้! สำหรับคนยุคเรา ที่ไม่ได้รับจดหมายที่เขียนด้วยลายมือคนจริงๆ มาหลายปีมากแล้ว มันช่างฟังดูเป็นความโรแมนติคที่เกิดขึ้นได้ยากกว่าจันทรุปราคา
หนังสือคลาสสิคเล่มนี้ เป็นการหนังสือรวมจดหมายที่เขาเขียนหากันจริงๆ มาให้อ่าน เริ่มจากจดหมายที่นักอ่านสาวในนิวยอร์ก เขียนมาถามหาหนังสือกับหนุ่มเจ้าของร้านหนังสือในลอนดอน เขียนคุยกันอยู่ 20 ปี ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองจนถึงช่วงยุค 70s อ่านไปก็ลุ้นไปว่าเขาจะรักกันหรือเปล่า ความงดงามของหนังสือเล่มนี้อยู่ที่จดหมายที่เขาเขียนหากันและมิตรภาพที่เบ่งบานตามกาลเวลาโดยมีหนังสือเป็นตัวประสาน การพูดถึงหนังสือเล่มต่างๆ ก็สนุกดีที่ทำให้ได้กูเกิ้ลหนังสือที่เขาพูดถึงในจดหมาย และ
อยากไปหามาอ่านมั่ง
นี่เป็นหนังสือเล่มบางๆ ที่อ่านวันเดียวก็จบ อ่านจบแล้วจะอารมณ์ดี ลงไปดูตู้จดหมาย เผื่อจะเจอซองที่จ่าหน้าด้วยลายมือบ้าง แต่ก็เห็นแต่ซองทวงหนี้บัตรเครดิตและบิลมือถือเหมือนทุกครั้ง ส่วนร้านหนังสือเลข
ที่ 84 ถนนแชริ่งครอสในลอนดอน ปัจจุบันก็กลายเป็นร้านแมคโดนัลด์ไปแล้ว ตื่น!
โฆษณา Brand Gen U
Happy new Year 2018! ปีที่ยังมีคนเอาคำผวนมาทำโฆษณา เออ! ไม่ได้พูดเล่น สงสัยครีเอทีฟต้องดื่มแบรนด์เป็นประจำแน่ๆ ถึงคิดอะไรแบบนี้ได้โดยไม่รู้สึกจั๊กกะจี้ตัวเอง
“ขอไลน์หน่อยดิ่ ไลน์เธอไปจนตั๊ก” “รักเธอไปจนตาย! แต่เราเป็นไทยน่ะสิ ไทยไม่มีเจอ” “เธอไม่มีใจ!”
ฯลฯ
พอยิงมุกกันเสร็จ บอย ปกรณ์ ชายผู้โฆษณาสินค้าทุกประเภท ก็หันเก้าอี้หันมาชูขวด Brand Gen U แล้วพูดว่า
“คิดเร็วแบบเนี้ย แบรนด์เจ็นยู!”
…ก้มหน้าถอนใจ เอานิ้วนวดดั้ง …หลานกูแดกน้ำเปล่ามันก็คิดได้ไวเท่านี้แหละ
พูดถึง BTS ขึ้นมา พอดีไปเจอป้ายนี้ใน MRT ที่ขอความร่วมมือไม่ใช้โทรศัพท์เพื่อความสงบของส่วนรวม ซึ่งเป็นสิ่งดี แต่มันย้อนแยงตรงที่รถคุณก็เปิดเสียงโฆษณา มันก็ไม่สงบอยู่ดี จะอยากดูหรือไม่ก็ต้องฟังเพราะปิดหูไม่ได้เหมือนหลับตา นิยามของคำว่า “พื้นที่สาธารณะ” คือที่ๆ ต้องใช้ร่วมกัน ดังนั้นมันควรเงียบ ความเกรงใจคือสมบัติของผู้ดี
แต่ MRT ถือว่ายังมีสมบัติผู้ดีกว่า BTS ที่นอกจากค่ารถจะแพงแล้ว ยังเปิดเสียงโฆษณาคุกคามความสงบ และยัดเยียดโฆษณาทุกจุดได้แบบไม่เกรงใจอ้ายอีที่ไหนทั้งสิ้น ระบบซื้อตั๋วก็วุ่นวาย เหมือนอยากบังคับให้คนซื้อบัตรเติมเงินเพื่อไม่ต้องต่อคิว แต่บัตรเติมเงินก็มีค่าบัตร 100 บาทเป็นค่ากินเปล่าที่เอาบัตรมาแลกคืนไม่ได้นะจ๊ะ ส่วนป้ายบอกสถานีนั้นฤา ก็มีอยู่สถานีละสองสามอัน ในขณะที่เมืองอื่นเขาแปะกันให้มองเห็นนอกหน้าต่างก่อนก่อนเทียบชานชาลาอย่างน้อย 10 วิ บางทีก็สงสารนักท่องเที่ยวที่เพิ่งเข้าเมือง ที่ต้องเลยสถานีเพราะยังไม่รู้ว่ารถไฟฟ้าเมืองนี้เขาต้องดูชื่อสถานีกันที่ไหน เวลคั่มทูแบงค่อก
ปัญญาอดีต (Past)
เขียนโดย ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา สำนักพิมพ์ Openbooks ราคา 395 บาท หนา 272 หน้า
ว่ากันว่า บริษัทการเงินใหญ่ๆ ของโลกอย่างเลห์แมน บราเธอส์ มีนักเศรษฐศาสตร์เก่งๆ หลายคนที่ไม่ได้จบการเงิน แต่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ สามารถหยั่งรู้บรรยากาศของยุคสมัยได้ว่าพฤติกรรมผู้คนในขณะนี้ จะส่งผลต่อการเงินการลงทุนในอนาคตอย่างไร ด้วยการเปรียบเทียบกับวิกฤตที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์ จึงกล่าวได้ว่า ถ้าเรารู้จักอดีตดี เราก็จะเห็นอนาคต
หนังสือเล่มนี้ก็ประมาณนี้ ภิญโญเป็นปัญญาชนผู้ถ่อมตน คลังความรู้ในหัวเขารอบด้าน เป็นคนที่ไม่เขียนอะไรที่ทำให้ผู้อ่านเสียเวลา เล่มนี้เขาเล่าขั้นตอนของเหตุการณ์และบุคคลสำคัญที่มีความคิดกล้าหาญ ปฏิวัติสังคมไปตลอดกาล เอาประวัติศาสตร์ไทยมาเดินคู่กับประวัติศาสตร์ตะวันตก เรื่องการกล้าคิดนอกกรอบก็เป็นเนื้อหาหลักในเล่มนี้ แต่ไม่ใช่นอกกรอบแนว self-help ประเภทพูดปาวๆ ว่าคิดนอกรอบ! ต้องคิดนอกกรอบนะ! แต่ไม่รู้ว่ามันพูดถึงกรอบอะไรของมัน
อ่านสนุกดี เหมือนนั่งฟังเพื่อนที่ไปอ่านเจออะไรดีๆ มา แล้วมาย่อยให้เราฟัง เป็นหนังสือเล่มหนา แต่ใช้เวลาอ่านจริงไม่นานหรอก เพราะมันหนาด้วยอาร์ตไดเร็คชั่นสุดเหวี่ยง ที่ทิ้ง space ขาวเวิ้งว้างยังกะหนังสือกลอนรักนิ้วกลม แต่แม้จะคล้ายกันในแง่ของการจัดหน้ากระดาษ แต่คนชอบอ่านกลอนนิ้วกลมอาจไม่ชอบ เพราะอันนี้เป็นหนังสือให้ความรู้
My Story by Nick Ut
นิทรรศการภาพถ่ายสงครามเวียดนามโดย นิค อึ๊ต Leica Gallery Bangkok ชั้น 2 ศูนย์การค้าเกษร วิลเลจ วันนี้ – 30 เมษายน 2561 เข้าชมฟรี
ภาพถ่ายดีๆ มันมีพลังขนาดหยุดสงครามได้ นี่คือนิทรรศการของเจ้าของภาพถ่ายในตำนานภาพนี้ ภาพที่เปลี่ยนมุมมองของคนทั้งโลกให้ช่วยกันสร้างสันติภาพ ภาพที่เป็นจุดเริ่มของการยุติสงครามเวียดนาม ในแง่นี้ มันจึงถือเป็น ‘ภาพไวรัล’ ภาพแรกของโลก
ที่นิทรรศการมีรูปอื่นอีกประมาณ 25 ภาพ เป็นภาพที่เราอาจะเคยเห็นมาบ้าง แต่ไม่รู้ว่าลุงคนนี้ถ่าย โดยรวมเป็นงานแสดงที่ให้ต้องหดหู่กับความกระหายสงครามของมนุษย์ แต่ก็เป็นอุทาหรณ์ชั้นดีที่จะทำให้ผู้ดูภูมิใจที่เลือกอยู่ข้างสันติภาพ ความกลัวตายมีให้เห็นในสายตาทุกคู่ของคนในภาพ ช่างภาพหนุ่มสาวถ้าได้ดูอาจเกิดพลังฮึกเหิม เพราะภาพชุดนี้ลุงเขาถ่ายตอนอายุ 21 ปีเอง น่าจะ relate กับคนวัยกล้าหาญได้ดี ลองไปยืนข้างหน้ารูปแล้วนึกตาม ว่าถ้าต้องไปถือกล้องยืนอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ต้องกล้าหาญและเข้มแข็งขนาดไหน จึงจะสามารถเก็บภาพได้ โดยไม่เก็บไปฝันร้าย
Opmerkingen